สมาคมหมู จี้ “พิชัย” เปิดข้อเสนอเจรจาภาษีทรัมป์ 19% ค้านนำเข้าเนื้อหมูสหรัฐแลกปิดดีล
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 สมาคมได้ทำหนังสือถึงนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอให้ยืนยันว่าจะไม่มีการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐและไม่มีแผนที่จะเจรจาในครั้งต่อไป หลังจากสหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยไปสหรัฐที่ 19% และหนึ่งในข้อเสนอของการเจรจาคืออาจมีการเปิดตลาดสินค้าสุกรให้กับสหรัฐ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศ
ปัจจุบันภาคปศุสัตว์ให้ความร่วมมืออย่างดีกับการรองรับวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ผลิตในประเทศ ในระดับราคาที่เกษตรกรไม่ขาดทุน เช่น การให้ความร่วมมือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกตษรกรในราคาที่ไม่ต่ำกว่า 9 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีความชื้นไม่เกิน 14.5% แม้ระดับราคาดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนการผลิตภาคปศุสัตว์และสุกรสูงขึ้น ในขณะเดียวกันราคาผลผลิตสินค้าปศุสัตว์และสุกรให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในด้านการจำกัดราคาในช่วงที่เกินต้นทุน โดยเกษตรกรจะมีการบริหารจัดการกันเองในช่วงที่ราคาขายต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งมีลักษณะนี้มาตลอด
ปัจจุบันปริมาณการผลิตสุกรและความต้องการบริโภคในประเทศ อยู่ในระดับที่มีส่วนเกินผลผลิตอยู่ในระดับหนึ่ง และยังคงต้องดูแลบริหารจัดการซัพพลายส่วนเกิน เพื่อรักษาระดับราคาให้มีเสถียรภาพให้ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยสามารถประกอบอาชีพต่อได้ กลุ่มผู้เลี้ยงสุกร 12 รายใหญ่ จึงได้ร่วมลงนามทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่จะไม่เพิ่มปริมาณการผลิตสุกรให้สอดคล้องกับการบริโภคภายในประเทศ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568
ทั้งนี้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ในฐานะตัวแทนผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศ ใคร่ขอความชัดเจนจากท่านในประเด็นการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐ เพื่อสามารถให้คำตอบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศได้ โดย 1.ขอให้ยืนยันว่า ไม่มีการตกลงเปิดตลาดสินค้าเนื้อสุกรจากสหรัฐในช่วงของการเจรจาดังกล่าว 2.ไม่มีการรับปากใดๆที่จะพิจารณาในครั้งต่อๆไป กับการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐ เพราะจากการให้สัมภาษณ์ท่านใช้คำตอบว่า ถ้ามีการเปิดก็จะมีแนวทางในการพิจารณา 3 ประการ คือ 1.จำกัดปริมาณไม่เกิน 1% ของการบริโภคในประเทศ 2.กำหนดมาตรการ เช่น ตรวจรับรองต้นทาง 3.พิจารณาความต้องการของตลาดในประเทศ จึงขอคำยืนยัน เนื่องจากสุกรเป็นสินค้าอ่อนไหว ที่การผลิตในประเทศไทยมีต้นทุนสูงกว่าการผลิตทั่วโลก