สาวประจวบฯ คว้ารางวัลเกษตรกรดีเด่นฯปี 68 พลิกชีวิตสร้างรายได้หลักล้าน
นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะโฆษกกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในปี 2568 กรมวิชาการเกษตรได้คัดเลือกให้ น.ส.ณัฐริณี สกุลจงเกษมสุข เกษตรกรชาวจังหวัดประจวบคิรีขันธ์ ได้รับรางวัล เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเกษตรกรรายนี้ เริ่มต้นจาก การปลูกผักสลัดลงในกระถางประมาณ 30-40 กระถางแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงพัฒนาความรู้จากการศึกษาดูงานแปลงผลิตพืชอินทรีย์ของเกษตรกรที่มีผลงานโดดเด่น และเรียนรู้เพิ่มเติมผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ หน่วยงานราชการอื่น ๆ รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในด้านการผลิตพืชปลอดภัย หลังจากนั้นจึงได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกผักแบบยกแคร่ นำเทคโนโลยีจากกรมวิชาการเกษตร ได้แก่ ปุ๋ยชีวภาพไมคอร์ไรซ่า ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟส และเห็ดเรืองแสงสิรินรัศมี มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูก ต่อมาผลผลิตเริ่มดีขึ้นจึงขยายพื้นที่ปลูกพืชอินทรีย์เพิ่มขึ้นรวมกว่า 3.2 ไร่ ปลูกพืชอินทรีย์จำนวน 34 ชนิด ภายใต้ชื่อ “ไร่เกษมสุขผักอินทรีย์กุยบุรี” พร้อมกับขอรับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ มกษ. 9000-2564 จากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี
กระบวนการผลิตพืชอินทรีย์ น.ส.ณัฐริณี จะมุ่งเน้นความต้องการของตลาด ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนในการผลิตโดยใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งการปลูกพืชในระบบอินทรีย์ดินถือว่ามีความสำคัญจึงมีการปรุงดินและผสมเองทั้งหมด โดยส่วนผสมหลักจะมีมูลวัว หน้าดินครึ่งส่วน แกลบเก่า ขุยมะพร้าว แหนแดง น้ำหมักอินทรีย์เป็นน้ำหมักจากปลา น้ำหมักผลไม้ที่ทำเอง เพื่อเพิ่มธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช ความอุดมสมบูรณ์ของดินและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน ทำให้พืชมีความแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี
ส่วนการป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะเน้นป้องกันมากกว่ากำจัด โดยจะมีการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี หมั่นดูแลป้องกันหนอนภายในแปลง ด้วยน้ำส้มควันไม้ และฉีดพ่นด้วยสมุนไพรที่ทำเอง เช่น ดอกยูคาลิปตัสและดอกดาวเรือง หากมีการระบาดมากการป้องกันจะเน้นใช้สารชีวภัณฑ์ ส่วนเรื่องเชื้อราที่ไร่เกษมสุขไม่ค่อยพบปัญหา เนื่องจากควบคุมความชื้นในแปลงผักได้ดี โดยรดน้ำให้กับผักสลัดภายในแปลงด้วยระบบมินิสปริงเกลอร์ การรดน้ำจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 รอบต่อวัน รอบแรกเวลา 07.00 น. รอบที่ 2 เวลา 11.00 น. หรือ 12.00 น. และรอบสุดท้ายเวลา 14.30 น. โดยหลังจากเวลา 15.00 น. จะหยุดการให้น้ำในแปลงผักทั้งหมด
โฆษกกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า นอกจากนี้ เกษตรกรรายดังกล่าวยังมีการวางแผนการผลิตโดยเฉพาะขั้นตอนการเพาะเมล็ดซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องให้สำคัญ เพราะหากเพาะเมล็ดไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผลผลิตที่ได้แต่ละรอบมีจำนวนน้อย จึงทำการเพาะเมล็ดทุก 7 วัน เท่ากับจะได้ผลผลิตจำหน่าย 4 ครั้งต่อเดือน ทำให้มีผลผลิตวางจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี และการปลูกผักในโรงเรือนเวลาฝนตกใบผักจะไม่ได้รับความเสียหาย เมื่อเทียบกับผักที่ปลูกในแปลงดิน ผลผลิตจะสวยในช่วงฤดูหนาว ทำให้ใน 1 ปี จะได้ผลผลิตอย่างเต็มที่ในช่วงเวลานี้เท่านั้น ส่วนการเก็บเกี่ยวผลผลิตภายในแปลงจะเลือกเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสม และใช้ภาชนะที่สะอาด โดยในปี 2567 ไร่เกษมสุขมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตรวม 756,486 บาท
จากการที่ น.ส.ณัฐริณี เป็นผู้ที่เปิดรับการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมที่จะปรับปรุงกระบวนการผลิตตามแนวทางการผลิตพืชตามมาตรฐานอินทรีย์ที่ยั่งยืน มีความร่วมมือกับชุมชนและเครือข่ายเกษตรกรอื่น ๆ เพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งยังเป็นแบบอย่างในการรักษามาตรฐานคุณภาพทำให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและส่งเสริมการเติบโตของเกษตรอินทรีย์ในวงกว้าง จึงเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากกรมวิชาการเกษตรเสนอชื่อให้ได้รับรางวัล เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาเกษตรอินทรีย์ ประจำปี 2568