ช่วยทางการแพทย์ใช่ว่าจะถูกเสมอไป
เป็นประเด็นร้อนถกเถียงในสังคมไทย ณ ชั่วโมงนี้
สำหรับ ความช่วยเหลือทางการแพทย์ของไทยเราที่มีต่อชาวกัมพูชา
ว่าโรงพยาบาล สถานพยาบาลในไทย สมควรที่จะให้การรักษาหรือไม่? แก่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วยที่เป็นพลเรือนชาวกัมพูชาที่จะเดินทางข้ามพรมแดนมารักษา รวมไปถึงทหารกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับกองทัพไทยเรา ที่ทางการกัมพูชาจะส่งตัวมารักษา
ฟังจากกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ ตลอดจนข้อความที่โพสต์กันตามสื่อสังคมออนไลน์ส่วนมาก ก็เป็นไปในทิศทางว่าไม่ควรให้การรักษาพยาบาลชาวกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือพลเรือน แม้จะอ้างถึงหลักมนุษยธรรมก็ตาม
ด้วยเหตุผลที่ไม่สมควรจะรักษาให้ ก็มีหลายประการด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นการอ้างเหตุผลเรื่องการรักษาพยาบาลในพื้นที่กฎอัยการศึก หรือยามศึกสงคราม ที่กำหนดไว้ว่า จะรักษาให้แต่เฉพาะเชลยศึก และผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ในพื้นที่ที่เรายึดครองเท่านั้น ส่วนผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เรายึดครองจะไม่รักษาให้ก็ได้ โดยที่ไม่ได้ละเมิดข้อตกลงตามอนุสัญญาเจนีวาแต่ประการใด ทั้งนี้ เพื่อป้องกันศัตรูฝ่ายตรงข้าม ที่อาจแฝงตัวมาในรูปของผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ ซึ่งเมื่อเข้ามารักษาแล้ว ก็อาจจะมีปฏิบัติการด้านสายลับข่าวกรอง แจ้งพิกัดต่างๆ เพื่อโจมตีกองทัพฝ่ายเราได้อย่างง่ายดายขึ้น
พร้อมกันนี้ ก็ยังมีเหตุผลที่จะไม่รักษาพยาบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่ทหารกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บ โดยระบุว่า ถ้าเกิดทหารกัมพูชาที่บาดเจ็บมาเสียชีวิตขณะรับการรักษาพยาบาล ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า จะถูกทางการกัมพูชาใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานาเป็นแน่ เหมือนกับที่ทางการไทยเรา กองทัพไทยเรา ถูกเล่นงานด้วยข้อมูลเท็จ เฟคนิวส์ กันไปหลายครั้งแล้ว
นอกจากนี้ ก็ยังมีเหตุผลเพื่อการตอบโต้ต่อกัมพูชา ที่โจมตีได้แม้กระทั่งพื้นที่สีเขียวอย่างโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งสมควรละเว้นไว้ให้เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในยามสงคราม ซึ่งมีรายงานว่า โรงพยาบาลของไทยหลายแห่งได้รับความเสียหายจากการถูกทหารกัมพูชาตั้งใจโจมตี
นั่น! เป็นกรณีถกเถียงไนไทยเรา ซึ่งในต่างประเทศก็กรณีให้วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการช่วยเหลือทางการแพทย์ในพื้นที่ที่มีการขัดแย้ง ถึงขั้นสู้รบมีเสียงปืนแตก เสียงระเบิดกัมปนาท เช่นเดียวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชานี้ด้วยเหมือนกัน
โดยเป็นเหตุการณ์สงครามการสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ซึ่งขยายลุกลามจาก “ฉนวนกาซา” ไปในพื้นที่ “เขตเวสต์แบงก์” จนกลายเป็นอีกสมรภูมิหนึ่งไป
เมื่อปรากฏว่า “ไต้หวัน” ข้ามภูมิภาคจากบูรพาทิศ ตะวันออกไกล ไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง ทางฟากตะวันตก ซึ่งมีระยะทางห่างไกลกันถึง 8,296 กิโลเมตร เข้าไปช่วยเหลืออิสราเอล ด้วยสนับสนุนการสร้างสถานพยาบาลในเขตเวสต์แบงก์ขึ้น
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ไต้หวันได้สนับสนุนการสร้างสถานพยาบาลในพื้นที่ที่มีชื่อว่า “ชาอาร์บินยามิน” ของเขตเวสต์แบงก์ มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 (พ.ศ. 2566) หรือตั้งแต่ช่วงต้นของสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งปะทุขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมในปีเดียวกันนั้นเป็นต้นมาแล้ว
จากนั้น ในช่วงเดือนมีนาคม และพฤษภาคม ในปีถัดมา ไต้หวัน ก็ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือการสร้าสถานพยาบาลในพื้นที่ชาอาร์บินยามินกันอยู่เป็นระยะ โดยมีรายงานเกี่ยวกับตัวเลขว่า งบประมาณที่ไต้หวันจัดสรรให้อิสราเอลเพื่อการดังกล่าวด้วยว่า มีจำนวน 15.9 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน คิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ประมาณ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (แปลงเป็นเงินไทยก็ราวกว่า 16.3 ล้านบาท)
ความช่วยเหลือเบื้องต้น แม้ดูเผินๆ ก็ต้องบอกว่า “ดูดี” แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนไป ก็พบว่า ไต้หวันสุ่มเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศก็เป็นได้ จากการที่ละเมิดข้อตกลงอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 อันเป็นผลที่อิสราเอลยึดครองเขตเวสต์แบงก์อย่างผิดกฎหมาย
แถมมิหนำซ้ำ อิสราเอลก็ไม่ได้ยึดเปล่าๆ แต่ยังถึงขึ้นตั้งถิ่นฐานชาวยิว คือ นำประชากรพลเรือนของตนเข้าไปตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ที่ตนใช้กำลังทหารยึดครองมาด้วยอีกต่างหาก
โดยการกระทำของอิสราเอลที่บุกยึดครองเขตเวสต์แบงก์อันไม่ชอบด้วยกฎหมายข้างต้น ก็ถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม
เมื่อไต้หวันเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนในการสร้างสถานพยาบาลดังกล่าว ก็เท่ากับว่าไต้หวันไปช่วยตั้งถิ่นฐานชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ ร่วมกับทางการอิสราเอลด้วย
ก็ทำให้ในไต้หวัน ปรากกฏว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่รวมตัวประท้วงทางการรัฐบาลไทเป ที่ให้การสนับสนุนต่ออิสราเอลในการทำสงครามกวาดล้างปาเลสไตน์ ซึ่งมิใช่มีแต่เฉพาะสมรภูมิฉนวนกาซา แต่ยังตะลุยรุกรบไปในเขตเวสต์แบงก์
โดยในกรณีที่อิสราเอลบุกเข้าไปยึดครองเขตเวสต์แบงก์นั้น ทาง “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” หรือ “ไอซีเจ” ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็ได้มีคำพิพากษาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 (พ.ศ. 2567) หรือปีที่แล้วว่า อิสราเอลกระทำผิดกฎหมายและว่า เขตเวสต์แบงก์เป็นดินแดนปาเลสไตน์ และรัฐอื่นๆ ทุกรัฐ ก็จะไม่ไปรับรองสถานการณ์ที่เกิดจากการที่อิสราเอลปรากฏตัวอย่างผิดกฎหมายในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองว่า ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ รัฐเหล่านี้ ยังมีพันธะผูกพันที่จะไม่ให้ความช่วยเหลือ หรือความช่วยเหลือในการรักษาสถานการณ์ที่เกิดจากการที่อิสราเอลปรากฏตัวอย่างผิดกฎหมายในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง
ดังนั้น การเข้าไปช่วยเหลือด้านสถานพยาบาลของไต้หวันที่มีต่ออิสราเอล ก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกพ่วงว่า สมรู้ร่วมคิดกับอิสราเอลในการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก แม้ดำเนินการไปด้วยข้ออ้างว่าเพื่อมนุษยธรรมก็ตาม