กำแพงกันคลื่นยักษ์ (seawalls) วิศวกรรมการป้องกันสึนามิของญี่ปุ่น
สำรวจกำแพงกันคลื่นขนาดยักษ์ (seawalls) ที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นตามแนวชายฝั่ง ประสิทธิภาพ ข้อดีข้อเสีย และปรัชญาเบื้องหลังการก่อสร้าง
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เผชิญกับภัยพิบัติสึนามิมาอย่างยาวนานและบ่อยครั้ง ทำให้มีการลงทุนมหาศาลในการสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำแพงกันคลื่นขนาดยักษ์ (seawalls) ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
หลังจากเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผ่นดินไหวและสึนามิโทโฮะกุในปี 2011 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนเกือบ 18,000 คน ญี่ปุ่นได้ทบทวนมาตรการป้องกันภัยพิบัติครั้งใหญ่ และตัดสินใจลงทุนมหาศาลในการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นใหม่และปรับปรุงกำแพงเดิมให้สูงและแข็งแรงยิ่งขึ้น บางจุดสูงถึง 12-15 เมตร หรือเทียบเท่าตึก 4-5 ชั้น และมีความยาวรวมกันหลายร้อยกิโลเมตรตลอดแนวชายฝั่ง โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อลดแรงปะทะของคลื่นและป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเข้าสู่พื้นที่ชุมชนและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ นอกจากนี้ยังช่วยซื้อเวลาในการอพยพ แม้กำแพงอาจไม่สามารถต้านทานสึนามิขนาดใหญ่มากได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยชะลอการไหลของน้ำ ทำให้ประชาชนมีเวลาอพยพไปยังที่สูงได้มากขึ้น นอกเหนือจากการป้องกันสึนามิ กำแพงเหล่านี้ยังช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งจากคลื่นปกติและการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลได้ด้วย
รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่ากำแพงกันคลื่นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของชุมชน แต่การก่อสร้างกลับถูกต่อต้านและต่อต้านจากชุมชนท้องถิ่นตลอดแนวชายฝั่ง สำหรับผู้อยู่อาศัยบางคน กำแพงเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่น่ารำคาญตา ในบางพื้นที่ กำแพงเหล่านี้สูงเกือบตึกสี่ชั้น บดบังทัศนียภาพของทะเลจนมองไม่เห็น ทำให้ชาวบ้านบางคนรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในคุก ส่วนคนอื่นๆ กังวลว่ากำแพงเหล่านี้จะทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่ดี หรืออาจกำลังทำลายวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนที่อยู่ติดทะเล
นอกจากนี้ การมีกำแพงอาจทำให้ประชาชนชะล่าใจและคิดว่าปลอดภัยแล้ว จึงไม่อพยพทันทีเมื่อมีคำเตือนภัย ซึ่งอาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมได้หากกำแพงไม่สามารถต้านทานคลื่นที่ใหญ่มากได้ (เช่น กรณีสึนามิ 2011 ที่บางกำแพงถูกคลื่นซัดข้ามหรือพังทลาย)
สำหรับนักอนุรักษ์การสร้างกำแพงขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น การเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของตะกอน การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และการขัดขวางการเคลื่อนย้ายของสารอาหารจากบกสู่ทะเล และถึงแม้กำแพงจะสูงและแข็งแรง แต่ไม่มีกำแพงใดสามารถรับประกันได้ว่าจะต้านทานคลื่นสึนามิที่รุนแรงที่สุดได้เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่กว่าที่คาดการณ์ไว้
กำแพงกันคลื่นยักษ์ในญี่ปุ่นเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามอย่างมหาศาลของประเทศในการปกป้องตนเองจากภัยสึนามิที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะมีประสิทธิภาพในการลดความเสียหายและช่วยชีวิตในหลายกรณี แต่ก็มาพร้อมกับข้อถกเถียงด้านทัศนียภาพ ค่าใช้จ่าย ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเสี่ยงของ "ความรู้สึกปลอดภัยที่ผิดพลาด"
ในท้ายที่สุด มาตรการป้องกันสึนามิที่ดีที่สุดยังคงเป็นการผสมผสานระหว่างโครงสร้างป้องกันที่แข็งแกร่ง (เช่น กำแพงกันคลื่น) ระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ การวางผังเมืองที่เหมาะสม การฝึกซ้อมอพยพอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือ การให้ความรู้แก่ประชาชนให้เข้าใจถึงความเสี่ยงและปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง โดยไม่พึ่งพิงโครงสร้างป้องกันเพียงอย่างเดียว