"ผู้ตรวจการแผ่นดิน - คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ฯ" เดินหน้าแก้กฎหมาย ปิดช่องโหว่ "นอมินีต่างชาติ"
วันที่ 1 ส.ค. 68 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยว่า สถานการณ์คนต่างด้าวเข้ามาครอบครองหรือถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะของการค้าที่ดินโดยอาศัยคนไทยเป็น “ตัวแทนอำพราง” หรือ “นอมินี” มีจำนวนมาก บางส่วนสมรสกับคนไทยเพื่อให้ถือครองแทน บางส่วนตั้งบริษัทที่มีคนไทยเป็นนอมินีถือหุ้น แต่คนต่างด้าวบริหารงานจริง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่หลบเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมาย เป็นการอาศัยช่องว่างของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และกฎหมายอื่น ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต กระบี่ พังงา ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี ระยอง ตราด และจันทบุรี เป็นต้น
อีกทั้งส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และขยายตัวไปเกือบทุกวงการไม่ว่าจะธุรกิจสีเทา Call center ยาเสพติด และอื่น ๆ จากปัญหาดังกล่าวสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ตั้งคณะทำงานเพื่อลงพื้นที่สำรวจข้อเท็จจริงผ่านการเก็บรวบรวมข้อมูลทั่วประเทศทั้งจากข้อมูลปฐมภูมิ และข้อมูลทุติยภูมิ ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ และหน่วยงานกลางที่สำคัญ ๆ พร้อมจัดประชุมหารือมากกว่า 10 ครั้ง ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นมา เพื่อจัดทำความเห็นและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลอย่างรอบด้านและเป็นระบบเพื่อการดำเนินงานเชิงรุก
โดย 1. ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นเจ้าภาพหลักในการตรวจสอบและป้องกันการจัดตั้งนิติบุคคลที่ใช้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าว และปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ให้ทันสมัย รวมทั้งออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมอำพรางแทนคนต่างด้าว 2. ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งคณะทำงานเชิงรุก ตรวจสอบทั้งพื้นที่เมือง แหล่งท่องเที่ยว และพื้นที่เกษตร พร้อมให้กรมที่ดินปรับแก้กฎหมายเพิ่มโทษจำคุก ปรับ และริบที่ดิน
3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมศักยภาพเกษตรกรไทย และตั้งกลไกเฝ้าระวังการใช้คนไทยเป็นนอมินีในภาคเกษตรกรรม 4. ให้กอ.รมน. สนับสนุนด้านวิชาการ และงบประมาณแก่กอ.รมน.ภาค 4 และขยายผลให้ภาค 1-3 ร่วมดำเนินการด้วย 5. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายให้ครอบคลุมทุกมิติ
6. ให้สภาทนายความ กำหนดจริยธรรมห้ามทนายความให้คำปรึกษาที่เอื้อต่อธุรกรรมอำพราง หากฝ่าฝืนให้ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง 7. ให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาออก “กฎหมายเฉพาะ” ว่าด้วยตัวแทนอำพรางในระดับพระราชบัญญัติ และจัดตั้งหน่วยงานกลางเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เริ่มขับเคลื่อนข้อเสนอไปบางส่วนแล้ว เช่น สภาผู้แทนราษฎรได้ส่งเรื่องให้กรรมาธิการกฎหมายฯ พิจารณาใช้เป็นข้อมูลประกอบการออกกฎหมาย, กรมที่ดินได้เข้าร่วมประชุมกับอนุกรรมการฯ และอยู่ระหว่างแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดิน , วุฒิสภาได้ส่งข้อเสนอแนะให้คณะกรรมาธิการด้านต่าง ๆ พิจารณา , สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเรื่องระเบียบและกฎหมาย , กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพัฒนาระบบ AI ตรวจสอบนิติบุคคลเสี่ยง และพัฒนาระบบวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมของนิติบุคคล (IBAS) จัดตั้งอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าวโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ทำ MOU แลกเปลี่ยนข้อมูลกับกรมที่ดิน และอยู่ระหว่างพิจารณาให้ความผิดตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานของ ปปง.
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 รับทราบข้อเสนอแนะ และมอบหมายกระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสรุปผลโดยเร็ว ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมาธิการฯ จะร่วมติดตามและผลักดันประเด็นสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ การตรากฎหมายเฉพาะ แก้ไขกฎหมายธุรกิจต่างด้าว แก้ไขประมวลกฎหมายที่ดิน ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมอำพรางแทนคนต่างด้าว และติดตามมาตรการต่าง ๆ ตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินให้เป็นรูปธรรม เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติต่อไป
นายทรงศัก กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้รับเรื่องร้องเรียนเพิ่มเติมอีก 2 กรณี ได้แก่ การกว้านซื้อถ่านกะลามะพร้าวโดยชาวต่างชาติผ่านนอมินีในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด และการเปิดร้านค้าปลีกโดยใช้แรงงานผิดกฎหมายในพื้นที่สถานีขนส่งสายใต้ และเพื่อสกัดการแทรกแซงทางเศรษฐกิจของทุนต่างชาติที่แฝงผ่านนอมินี
ได้เตรียมดำเนินการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน 5 กลุ่มประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. กรณีโรงงานศูนย์เหรียญ เพื่อพิจารณาการดำเนินธุรกิจของทุนต่างชาติที่อาจฝ่าฝืนกฎหมาย 2. ธุรกิจก่อสร้าง เพื่อประเมินผลกระทบจากการแฝงตัวผ่านนอมินี 3. ธุรกิจค้าปลีกและการขนส่ง เพื่อป้องกันการใช้ช่องโหว่กฎหมายและควบคุมสินค้ามาตรฐาน
4. ธุรกิจท่องเที่ยว การบริการ และ SME ตลอดจนผลกระทลจากการใช้แพลตฟอร์มของต่างชาติในการซื้อสินค้าและขำระค่าสินค้า ระบบชำระเงินดิจิทัลด้วย Alipay และ Wechat Pay 5. การบังคับใช้กฎหมายและการให้คำปรึกษาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณีนอมินี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานในภาคอุตสาหกรรม การค้าปลีก การท่องเที่ยว และการบังคับใช้กฎหมาย
“หากปล่อยให้ปัญหานอมินีเรื้อรัง จะกระทบทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมในระยะยาว ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีมาตรการเฉียบขาดทางกฎหมายและกลไกที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง” นายทรงศัก กล่าว