กต. – กองทัพ แจงทูตและสื่อต่างประเทศ ย้ำเขมรยิงก่อน โจมตีพลเรือน
กต.-กองทัพ แจงคณะทูต-สื่อต่างประเทศ ย้ำ "กัมพูชา" เปิดฉากยิงก่อน ใช้อาวุธหนักโจมตีพลเรือน - โรงพยาบาล ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม สร้างข่าวเท็จ ใส่ร้ายไทย ยันไทยไม่ได้ยิงปั๊มน้ำมัน ไม่ใช้อาวุธเคมี
กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพบก ได้พาเอกอัครราชทูต อุปทูต และทูตทหารกว่า 23 ประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยมี พ.อ. พัฒนา พันธุ์มงคล กรมข่าว พล.ต. วินทัย สุวารี โฆษกกองทัพ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และพล.ต.นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจง
ผู้แทนกรมข่าวทหารบก ได้สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 68 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการปะทะกันในพื้นที่ช่องบกตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้าหน้านั้น กัมพูชามีการเผาศาลาตรีมุข ซึ่งเป็นจุดประสานงานชายแดน และนำกำลังเข้ามาในพื้นที่ของไทย พร้อมทั้งขุดคูเลต ก่อนจะเปิดเผยข้อมูลจากนักวิชาการต่างชาติที่ระบุว่าฝ่ายกัมพูชา เป็นคนเริ่มโจมตีก่อน
โดยสถานการณ์ก่อนหน้านั้นพบการวางทุ่นระเบิด จนเป็นเหตุให้ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดระหว่างกำลังเดินลาดตระเวน ในวันที่ 16 ก.ค. 68 และ 23 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา ถือเป็นการละเมิด อนุสัญญาออตตาวา เกี่ยวกับทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อย่างไรก็ตาม กัมพูชาได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาในการวางทุ่นระเบิดดังกล่าว
ผู้แทนกรมข่าวทหารบก ยังกล่าวอีกว่า ในระหว่างนั้นมีการนำคนกัมพูชาเข้ามาเที่ยวประสาทตาเหมือนธม และประสาทตาเมือน ซึ่งมีการแสดงท่าทียั่วยุอยู่หลายครั้ง พร้อมกันนี้ ยังเปิดเผยภาพการเคลื่อนกำลังพล และการใช้อาวุธในพื้นที่กัมพูชา
จากนั้น ในวันที่ 24 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา กัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีไทยก่อน ซึ่งเป็นการยิงใส่พื้นที่โรงพยาบาล บ้านเรือนประชาชน จนทำให้พลเรือเสียชีวิต และยังเปิดภาพของคุณยายที่อุ้มหลาน และนำไปส่งโรงพยาบาล เปิดภาพคลิปวิดีโอการโจมตีปั๊มน้ำมัน จ.ศรีสะเกษ จากการใช้ BM - 21 ซึ่งทางกัมพูชามีการใช้อาวุธทั้ง BM - 21 ปืนเล็ก ปืนใหญ่ ระดมยิงใส่พื้นที่ชุมชน
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันในพื้นที่ตามแนวชายแดน ไทยยังคงยึดมั่นในการตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขที่มีการตกลงกันที่มาเลเซีย ซึ่งยังคงพบกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งไทยจะใช้สิทธิในการปกป้องตนเอง และปกป้องอธิปไตย แต่ขณะเดียวกันยังคงมีการรายงานว่ามีการใช้โดรน เข้ามาในพื้นที่หลายจุดตามแนวชายแดน
ผู้แทนกรมข่าวมหารบก กล่าวถึงการชี้แจงข้อเท็จจริง จากการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จของกัมพูชา ที่บอกว่ากัมพูชาใช้ BM - 21 เพราะไทยใช้อาวุธหนักในการโจมตีก่อนนั้น ไม่เป็นความจริง มีแต่กัมพูชาที่โจมตีใส่บ้านเรือนประชาชนและโรงพยาบาล และการโจมตีที่ปั๊มน้ำมัน ไทยไม่ได้เป็นคนทำ แต่มาจากกัมพูชา ส่วนการที่บอกว่าไทยใช้เครื่องบินปล่อยสารเคมีใส่นั้น ก็ไม่เป็นความจริง
เป็นภาพเก่าในการใช้ดับไฟป่า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม ไทยโจมตีเฉพาะพื้นที่ทางทหาร และมีการจำกัดพื้นที เราตอบโต้เพื่อปกป้องธิปไตยของประเทศ และยังเปิดภาพที่กัมพูชาบอกว่ามีจรวดตกใส่บ้านประชาชน แต่จากการดูระเบิดดังกล่างนั้น เป็นระเบิดเก่า และใช้ในสมัยสงครามโลก
ด้านนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่กัมพูชาละเมิดข้อตกลง MOU 2543 ซึ่งเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาระดับทวิภาคี จนเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และไทยทำตามกฏหมายระหว่างประเทศ ก่อนถึงการที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไทยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเป็นฝ่าย เริ่มโจมตีก่อน แต่ขณะที่กัมพูชา พยายามทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อให้เป็นที่สนใจต่อสายตาชาวโลก
โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารให้ประชาคมโลกได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงในพื้นที่ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจาบนหลักการและความถูกต้องและจริงใจ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีภายใต้กรอบทวิภาคีได้ในที่สุด รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงจุดยืนและการดำเนินการของไทยว่ายืนอยู่บนหลักการกฏหมายระหว่างประเทศ ที่จะให้การเจรจาทวิภาคี
อย่างสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา ได้ใช้ความอดกลั้นมาโดยตลอด และการป้องกันตนเองตามแนวทางกฏบัตรสหประชาชาติ และกฏหมายระหว่างประเทศ
ท่ามกลางการนำเสนอข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างสองฝ่าย สิ่งหนึ่งที่มีหลักฐานชัดเจน คือ กัมพูชาได้โจมตีโรงพยาบาล โรงเรียน บ้านเรือน ร้านค้า ปั๊มน้ำมันในพื้นที่ชุมชนอย่างหนัก ทำให้สตรี เด็กและประชาชนที่ไม่มีอาวุธต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ทหารไทยจำเป็นต้องโต้ตอบเพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตของประชาชนไทย
ส่วน ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี รายงานว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนกว่า 5 หมื่นคน จาก 3 อำเภอแนวชายแดน ซึ่งได้อพยพกว่า 22,000 คน ออกไปอยู่ในศูนย์พักพิงตั้งแต่วันแรก กว่า 68 ศูนย์พักพิง ในพื้นที่ห่างเขตแดน 70 กม. และปิดสถานพยาบาล 23 แห่ง เป็นเป็นโรงพยาบาล 3 แห่ง และรพ.สต. 20 แห่ง อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อประชาชา ทำให้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 3 ราย และยังมีบ้านเรือนหลายหลังเสียหาย 31 หลังคา
ทั้งนี้ ระหว่างการรับฟังบรรยายสรุปเอกอัครราชทูต และอุปทูต ทูตทหารทั้ง 23 ประเทศ ต่างให้ความสนใจในการรับฟัง และถ่ายภาพหลักฐาน รวมถึงจดบันทึก ข้อมูลตลอดที่ไทยชี้แจง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews