ประเพณีไหลเรือไฟนครพนม ๒๕๖๘ มหกรรมไหลเรือไฟโลก
ประเพณีไหลเรือไฟนครพนม ๒๕๖๘ มหกรรมไหลเรือไฟโลก
27 ก.ย. - 8 ต.ค. 2568
ประเพณีไหลเรือไฟนครพนม ๒๕๖๘ มหกรรมไหลเรือไฟโลก
27 ก.ย. - 8 ต.ค. 2568
ณ ริมแม่น้ำโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
นครพนม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประเพณีไหลเรือไฟนครพนม ๒๕๖๘ มหกรรมไหลเรือไฟโลก
27 กันยายน – 8 ตุลาคม 2568 อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
สัมผัสความยิ่งใหญ่ของขบวนเรือไฟสุดวิจิตรตระการตา พร้อมกิจกรรมศิลปวัฒนธรรม การแสดงแสงสีเสียงสุดอลังการ ที่คุณไม่ควรพลาด มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลระดับโลก ท่ามกลางบรรยากาศแห่งศรัทธา วิถีชีวิต และความงดงามของจังหวัดนครพนม
แสงไฟไม่เพียงแค่ส่องสว่าง แต่ยังสื่อถึงศรัทธาในพระพุทธศาสนา ความผูกพันกับสายน้ำ และจิตวิญญาณร่วมของผู้คนในลุ่มน้ำโขง “ไหลเรือไฟ” จึงไม่ใช่แค่ประเพณี แต่เป็นพลังศรัทธาที่ไหลผ่านกาลเวลา
-จุดเริ่มต้นของแสงไฟ ประเพณีไหลเรือไฟ เป็นประเพณีสำคัญของชาวนครพนม จัดขึ้นในช่วงวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ซึ่งตรงกับช่วงปลายฤดูฝน บรรยากาศริมฝั่งโขงเย็นสบาย เหมาะแก่การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ต้นกำเนิดของประเพณีนี้ เชื่อมโยงกับความเชื่อในการบูชาพระพุทธเจ้า และการอุทิศไฟเพื่อสักการะแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาเผยแผ่ธรรมะ และประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่ภูเขาในแถบนี้
-แสงไฟ…แทนพลังศรัทธา ความเชื่อพื้นบ้านระบุว่า การจุดไฟลอยตามน้ำมีไว้เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่เชื่อว่าประดิษฐานอยู่ริมโขง อุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ ขอขมาแม่น้ำที่อาจใช้ประโยชน์จากสายน้ำเกินควร เเละเพื่อเป็นการส่งแสงนำทางให้พญานาค กลับคืนสู่นาคโลกในวันออกพรรษา เมื่อแสงไฟนับร้อยล่องลอยตามกระแสน้ำโขงในยามค่ำคืน จึงเปรียบเสมือน “บทสวดมนต์แห่งแสง” ที่เชื่อมโยงมนุษย์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
-ภูมิปัญญาชาวบ้าน…ในเรือไฟหนึ่งลำ แม้จะงดงามจนหลายคนตื่นตะลึง แต่เบื้องหลังความตระการตาของเรือไฟหนึ่งลำ เต็มไปด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยโครงเรือที่ทำจากไม้ไผ่สานอย่างประณีต ไฟแต่ละดวงใช้น้ำมันก๊าดหรือเทียนพรรษาเป็นเชื้อเพลิง ไปจนถึงการวางลำดับดวงไฟที่ต้องคำนวณทิศทางน้ำ ลม และระยะเวลาไหม้ เพื่อให้แสงไฟปรากฏเป็นลวดลายอย่างแม่นยำ ลวดลายบนเรือมักมีความหมายทางพุทธศิลป์ เช่น รูปพระพุทธเจ้า, พระธาตุพนม, พญานาค, หรือแม้แต่สัญลักษณ์ไทยร่วมสมัย เรือไฟจึงเปรียบเหมือน ผืนผ้าใบแห่งศรัทธา ที่ถักทอขึ้นจากฝีมือและหัวใจของชาวชุมชน
-อนุรักษ์ไว้ด้วยแรงใจทั้งเมือง สิ่งที่ทำให้ประเพณีนี้ยังคงอยู่ คือ พลังของชุมชน เพราะชาวนครพนมทุกกลุ่ม ทุกวัย ร่วมแรงร่วมใจกันทั้งเดือนเพื่อเตรียมเรือไฟ ทุกภาคส่วนล้วนมีส่วนร่วมในการเตรียมการตั้งเเต่สถานศึกษาให้นักเรียนช่วยออกแบบเรือไฟ วัดและชุมชนช่วยกันจัดทำโครงสร้าง ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นที่ปรึกษาด้านความเชื่อ เเละเยาวชนช่วยโปรโมทประเพณีผ่านโซเชียล ถือเป็นตัวอย่างที่มีรูปธรรมชัดเจนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เกิดจากรากของคนในสังคม
ประเพณีไหลเรือไฟนครพนม ๒๕๖๘ มหกรรมไหลเรือไฟโลก
27 กันยายน – 8 ตุลาคม 2568 อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
สัมผัสความยิ่งใหญ่ของขบวนเรือไฟสุดวิจิตรตระการตา พร้อมกิจกรรมศิลปวัฒนธรรม การแสดงแสงสีเสียงสุดอลังการ ที่คุณไม่ควรพลาด มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลระดับโลก ท่ามกลางบรรยากาศแห่งศรัทธา วิถีชีวิต และความงดงามของจังหวัดนครพนม
แสงไฟไม่เพียงแค่ส่องสว่าง แต่ยังสื่อถึงศรัทธาในพระพุทธศาสนา ความผูกพันกับสายน้ำ และจิตวิญญาณร่วมของผู้คนในลุ่มน้ำโขง “ไหลเรือไฟ” จึงไม่ใช่แค่ประเพณี แต่เป็นพลังศรัทธาที่ไหลผ่านกาลเวลา
-จุดเริ่มต้นของแสงไฟ ประเพณีไหลเรือไฟ เป็นประเพณีสำคัญของชาวนครพนม จัดขึ้นในช่วงวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ซึ่งตรงกับช่วงปลายฤดูฝน บรรยากาศริมฝั่งโขงเย็นสบาย เหมาะแก่การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ต้นกำเนิดของประเพณีนี้ เชื่อมโยงกับความเชื่อในการบูชาพระพุทธเจ้า และการอุทิศไฟเพื่อสักการะแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาเผยแผ่ธรรมะ และประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่ภูเขาในแถบนี้
-แสงไฟ…แทนพลังศรัทธา ความเชื่อพื้นบ้านระบุว่า การจุดไฟลอยตามน้ำมีไว้เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่เชื่อว่าประดิษฐานอยู่ริมโขง อุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ ขอขมาแม่น้ำที่อาจใช้ประโยชน์จากสายน้ำเกินควร เเละเพื่อเป็นการส่งแสงนำทางให้พญานาค กลับคืนสู่นาคโลกในวันออกพรรษา เมื่อแสงไฟนับร้อยล่องลอยตามกระแสน้ำโขงในยามค่ำคืน จึงเปรียบเสมือน “บทสวดมนต์แห่งแสง” ที่เชื่อมโยงมนุษย์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
-ภูมิปัญญาชาวบ้าน…ในเรือไฟหนึ่งลำ แม้จะงดงามจนหลายคนตื่นตะลึง แต่เบื้องหลังความตระการตาของเรือไฟหนึ่งลำ เต็มไปด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยโครงเรือที่ทำจากไม้ไผ่สานอย่างประณีต ไฟแต่ละดวงใช้น้ำมันก๊าดหรือเทียนพรรษาเป็นเชื้อเพลิง ไปจนถึงการวางลำดับดวงไฟที่ต้องคำนวณทิศทางน้ำ ลม และระยะเวลาไหม้ เพื่อให้แสงไฟปรากฏเป็นลวดลายอย่างแม่นยำ ลวดลายบนเรือมักมีความหมายทางพุทธศิลป์ เช่น รูปพระพุทธเจ้า, พระธาตุพนม, พญานาค, หรือแม้แต่สัญลักษณ์ไทยร่วมสมัย เรือไฟจึงเปรียบเหมือน ผืนผ้าใบแห่งศรัทธา ที่ถักทอขึ้นจากฝีมือและหัวใจของชาวชุมชน
-อนุรักษ์ไว้ด้วยแรงใจทั้งเมือง สิ่งที่ทำให้ประเพณีนี้ยังคงอยู่ คือ พลังของชุมชน เพราะชาวนครพนมทุกกลุ่ม ทุกวัย ร่วมแรงร่วมใจกันทั้งเดือนเพื่อเตรียมเรือไฟ ทุกภาคส่วนล้วนมีส่วนร่วมในการเตรียมการตั้งเเต่สถานศึกษาให้นักเรียนช่วยออกแบบเรือไฟ วัดและชุมชนช่วยกันจัดทำโครงสร้าง ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นที่ปรึกษาด้านความเชื่อ เเละเยาวชนช่วยโปรโมทประเพณีผ่านโซเชียล ถือเป็นตัวอย่างที่มีรูปธรรมชัดเจนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เกิดจากรากของคนในสังคม