ภาษี 19% ที่แลกด้วยการสังเวย 'เกษตรกรรายย่อย' เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
ภาษี 19% ที่แลกด้วยการสังเวย ‘เกษตรกรรายย่อย’ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
ภาษี 19% – ผลเจรจาเบื้องต้นกรณีภาษีทรัมป์ ทีมเจรจาเพิ่มเงื่อนไข อนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ 1% ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3 ล้านตัน กากถั่วเหลือง 3 ล้านตัน และกากข้าวโพดอีก 1 ล้านตัน เพื่อแลกเปลี่ยนกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จาก 36% เป็น 19% ถือเป็นเกมการค้าเชิงการเมืองที่ตอกย้ำว่า ทีมเจรจาไม่ให้ความสำคัญกับภาคเกษตรและซ้ำเติมเกษตรกรรายย่อยของไทย โดยเฉพาะชาวไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่น้อยกว่า 4 แสนครัวเรือน ผู้เลี้ยงสุกรไทย 1.48 แสนครัวเรือน ซึ่งเกี่ยวข้องกับแรงงานตลอดห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอีกนับล้านชีวิต เพราะเพียงแค่บอกว่าจะนำเข้า ราคารับซื้อข้าวโพดก็ตกลงไปรอล่วงหน้าแล้ว
ที่ผ่านมา สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้แถลงชัดเจนถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากมีการเปิดนำเข้าเนื้อหมูสหรัฐ ซึ่งใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างกว้างขวาง ขณะประเทศไทยมีกฎหมายห้ามใช้โดยเด็ดขาดตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษ เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค แต่แล้วหลังผลการเจรจา คณะเจรจาของไทยให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดตลาดนำเข้าหมูสหรัฐแบบมีเงื่อนไข โดยคาดว่าจะนำเข้าที่ 1% ของอัตราการบริโภค หรือประมาณ 10,000 ตัน
ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดของเงื่อนไขการนำเข้าออกมาอย่างแน่ชัด เข้าใจว่าใส่ๆ ไปก่อนให้ดูว่าเรายอมมาก คำถามคือ จะเปิดทำไม แถมมูลค่าน้อยมาก ที่สำคัญคือ เมื่อเปิดแล้ว ปิดยาก และประเทศอื่นก็จะขอเปิดตามมา เช่น สหภาพยุโรป รวมถึงจีน แต่เพื่อให้ข้อเสนอของประเทศไทยไม่ใช่การยอมจำนนแบบไร้เงื่อนไข ผู้เขียนขอเสนอแนวทางควบคุมที่จำเป็นต้องมี หากรัฐบาลจะพิจารณาเปิดนำเข้าเนื้อหมูในสัดส่วนจำกัด ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาอธิปไตยด้านอาหารของประเทศ และความมั่นคงในเศรษฐกิจฐานราก
1. เนื้อหมูที่นำเข้าต้องปลอดสารเร่งเนื้อแดง 100% พร้อมเอกสารรับรอง
เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมายห้ามใช้ Ractopamine และสารเร่งเนื้อแดงอื่น ๆ ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่หลายประเทศยอมรับ เช่น สหภาพยุโรป จีน และอีกกว่าร้อยประเทศ ขณะที่สหรัฐระบุว่ามีหมูที่ไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดงขายด้วย ไทยก็ควรระบุให้ชัดว่าจะนำเข้า “เฉพาะหมูที่ไม่มีสารเร่งเนื้อแดงเท่านั้น” โดยต้องมีเอกสารรับรองกำกับมาด้วย และเมื่อนำเข้า ต้องตรวจสารตกค้างตามระเบียบอย่างเคร่งครัด
2. ต้องระบุชิ้นส่วน/ผลิตภัณฑ์นำเข้า และโควตาผู้นำเข้าอย่างชัดเจน ไม่ให้ใช้ระบบเปิดที่ตีความได้กว้าง
การเปิดนำเข้า “เนื้อหมู” หากไม่กำหนดรายละเอียด หรือ “จำกัดนำเข้าเฉพาะเนื้อหมูบดเพื่อแปรรูป” ก็จะเกิดการแข่งขันในตลาดสดและตลาดห้างส่งผลให้ราคาหมูในประเทศตกต่ำ ผู้เขียนเสนอให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรแปรรูป เช่น เบคอน เป็นต้น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ผู้ประกอบการแปรรูปเนื้อสุกรของไทยสู้ได้ ไม่กระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อย นอกจากนี้ หากนำเข้าเนื้อหมูที่ไม่แปรรูป ควรกำหนดชิ้นส่วน เช่น สามชั้น ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ผู้บริโภคชาวไทยนิยม หากไม่กำหนดให้ชัดเจนจะเปิดช่องให้มีการนำเข้าชิ้นส่วนราคาถูกที่ไปตัดราคาในตลาด และผู้ได้รับโควตานำเข้า ต้องมีระบุชื่อชัดเจน รวมถึงรายงานการจำหน่ายต้องตรวจสอบได้ เช่น ระบุปลายทางว่าใช้แปรรูปในอุตสาหกรรมใด หรือจำหน่ายในเครือข่ายค้าปลีกใดเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์หรือกักตุน
3. ระวังข้อหา เลือกปฏิบัติ จนต้องเปิดให้นานาประเทศเทขายหมูเข้ามา
หลายคนอาจมองว่าการเปิดนำเข้าเพียง 1% เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อย่าลืมว่า กติกา WTO ไม่อนุญาตให้เลือกปฏิบัติ หากไทยเปิดให้สหรัฐฯ เข้ามาได้ ประเทศอื่นที่ผ่านมาตรฐานเดียวกันกับสหรัฐ เช่น บราซิล หรือแคนาดา สหภาพยุโรป หรือแม้แต่จีน ก็สามารถเรียกร้องสิทธิเท่ากันได้ ขณะที่ไทยเคยยืนหยัดปฏิเสธหมูยุโรปมาได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศที่ไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดงเช่นเดียวกับไทย ด้วยเหตุผลว่าผลผลิตหมูภายในประเทศไทยมีเพียงพอต่ออัตราการบริโภค และไม่ต้องการเนื้อหมูนำเข้า แต่หากวันนี้เปิดให้สหรัฐฯ ก่อน ต่อไปจะไม่มีเหตุผลใดในการปฏิเสธชาติอื่นอีกเลย โดยอาจถูกหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในเวที FTA แล้วกล่าวหาว่าไทยเลือกปฏิบัติ กดดันให้ไทยต้องเปิดทางให้หมูจากทุกประเทศเข้ามาได้หมด เมื่อนั้นซับพลายจะล้นเกินกว่าความต้องการมาก กดราคาให้ตกต่ำลงไปอีก ซ้ำเติมเกษตรกรไทยตายคาเล้าหมูกันทั้งประเทศ ประเด็นนี้จึงต้องคิดให้มาก
4. ห้ามแก้ไขกฎหมายภายใน เพื่อรองรับเนื้อหมูนำเข้า
หากจะยกเว้นสารบางตัว หรือปรับลดมาตรฐานอาหารเพื่อเอื้อให้หมูต่างประเทศเข้ามาได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการทำลายหลักความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศ และทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การปรับลดมาตรฐานสารตกค้าง หรือยอมให้ใช้สารบางตัวโดยอ้างว่า “ตามมาตรฐานโคเด็กซ์ (Codex)” ทั้งที่กฎหมายไทยระบุมาตรฐานที่สูงกว่านั้น จะส่งผลเสียทั้งในประเทศ และผลเสียต่อชื่อเสียงของสินค้าอาหารไทยในตลาดโลก แต่หากตั้งเงื่อนไขว่าไม่รับหมูสหรัฐที่มีสารเร่งเนื้อแดงปนเปื้อนได้ ไทยก็ไม่มีความจำเป็นต้องแก้กฎหมายนี้ และรัฐบาลจะต้องยืนยันกับประชาชนว่าจะไม่มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อปรับลดมาตรฐานสารตกค้างใด ๆ โดยเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคชาวไทย
5. งบช่วยเหลือเกษตรกรต้องไม่ใช่แค่เงินแจก แต่ต้องยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
หากไทยจำต้องยอมให้นำเข้าเนื้อหมู และรัฐต้องจัดเตรียมงบประมาณชดเชยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรนั้น การจัดสรรงบดังกล่าว ต้อง ไม่ใช่เพียงแจกเงินหรือให้ soft loan ซึ่งอาจกลายเป็นหนี้สะสม แต่รัฐควรใช้งบประมาณนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของฟาร์ม เช่น สนับสนุนการทำมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรรายย่อย ลดภาษีฟาร์มเพื่อใช้ระบบฟาร์มอัจฉริยะ (smart farm) การบริหารต้นทุนอาหารสัตว์โดยจัดการระบบน้ำและปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ผลิตในพื้นที่เหมาะสม รวมถึงการปรับปรุงโรงเชือดของเทศบาลให้กลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง เพื่อส่งเสริมเกษตรกรให้เข้มแข็งขึ้นพอที่แข่งขันได้ในระยะยาว และได้เนื้อหมูที่ถูกสุขอนามัยปลอดภัยต่อผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าการนำเข้าหมูเพียง 1% ไม่น่าเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจ ประเด็นใหญ่น่าอยู่ที่การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และวัตถุดิบอาหารสัตว์รวมมูลค่า 85,000 ล้านบาทต่อปีมากกว่า คงต้องตั้งคำถามต่อว่าถ้ายังดึงดันเปิดนำเข้าเนื้อหมูซึ่งจะทำให้ฟาร์มเลี้ยงหมูของไทยหายไปทั้งระบบ แล้วจะนำเข้าข้าวโพดสหรัฐฯ มาขายใคร แน่นอนว่าจะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียโอกาสในการขายพืชวัตถุดิบต่างๆ ให้ไทยไปร่วมแสนล้านบาทต่อปี ซึ่งจุดนี้สหรัฐฯ ไม่น่าพึงพอใจ
ทีมเจรจาหลังจากนี้ ควรรอบคอบรัดกุมในการวางเงื่อนไขนำเข้า เพื่อรักษาเกษตรกรรายย่อยผู้ผลิตอาหาร ควบคู่ไปกับการปกป้องความปลอดภัยให้ผู้บริโภค โปรดอย่าให้การเจรจาครั้งนี้กลายเป็นการกระทืบซ้ำเติมอุตสาหกรรมพืชอาหารและปศุสัตว์ของไทยให้มลายหายไปดังเช่น นม ถั่วเหลือง กระเทียม หอมแดง เพียงเพื่ออุ้มภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ใช้ไทยเป็นทางผ่าน
ถ้าการได้มาซึ่งภาษี19% ครั้งนี้ต้องแลกกับการสูญเสียอธิปไตยและความมั่นคงทางอาหารของชาติไปตลอดกาล … มันยิ่งไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ เพราะเราต้องสังเวยเกษตรกรรายย่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และขอย้ำอีกครั้งว่าการเปิดให้นำเข้าหมู ผู้บริโภคจะไม่ได้ซื้อหมูดี ราคาถูก เพราะมันจะไม่ถูก สังเกตได้จาก นม และกระเทียม ที่ราคาขายปลีกทุกวันนี้ ก็มิได้ลดลงจากอดีตก่อนการนำเข้าแต่อย่างไร
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ภาษี 19% ที่แลกด้วยการสังเวย ‘เกษตรกรรายย่อย’ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th