ส่องธุรกิจ 'B.Grimm Power' ในเวียดนามโอกาสทองจาก 'นโยบายภาครัฐสู่การเป็นผู้นำพลังงานสะอาด'
เวียดนามกำลังก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางพลังงานสะอาด แห่งใหม่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยนโยบายที่เปิดกว้างและแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8 หรือ PDP 8 ซึ่งเป็นโรดแมปสำคัญที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไปสู่การลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลและเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 28-36% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดภายในปี 2573 สถานการณ์เช่นนี้ได้ดึงดูดผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานระดับโลกให้เข้ามาลงทุน หนึ่งในนั้นคือ B.Grimm Power บริษัทพลังงานชั้นนำของไทย ที่มองเห็นศักยภาพและโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดเวียดนาม
นโยบาย PDP 8 ใบเบิกทางสู่พลังงานสะอาด
เหงียน อันห์ ตวน ซีอีโอ บี.กริม พาวเวอร์ (เวียดนาม) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่า แผนพัฒนาพลังงาน PDP 8 ของเวียดนาม ซึ่งได้รับการปรับปรุงล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย. 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม ภาครัฐเวียดนามได้ให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนต่อการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยกำหนดเป้าหมายเชิงรุกเพื่อผลักดันให้กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวมพลังงานน้ำ) พุ่งสูงถึง 28-36% ภายในปี 2573 และตั้งเป้าการส่งออกพลังงานหมุนเวียนระหว่าง 5,000-10,000 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ PDP 8 ยังได้สร้างแรงจูงใจและกลไกใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุน เช่น การส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (self-consumption) และการออกกฎระเบียบที่กำหนดให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบรวมศูนย์ต้องติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) ที่มีกำลังการผลิตขั้นต่ำ 10% ของโรงไฟฟ้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับโครงข่ายไฟฟ้า สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังของรัฐบาลเวียดนามในการสร้างระบบนิเวศด้านพลังงานที่ทันสมัยและยั่งยืน
เพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MOIT) ได้อนุมัติแผนการดำเนินการสำหรับ PDP 8 และเริ่มนำกลไกต่างๆ มาใช้ เช่น กลไกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวโดยตรง (DPPA) ระหว่างผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนและผู้บริโภครายใหญ่ รวมถึงกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าเพดาน (ceiling price) สำหรับพลังงานหมุนเวียน ซึ่งแม้จะมีความผันผวนของอัตราการรับซื้อไฟฟ้าในอดีต แต่นโยบายเหล่านี้ก็ช่วยสร้างความชัดเจนและลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ในเวียดนาม
B.Grimm Power ในฐานะบริษัทที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและประสบการณ์ยาวนาน ได้เริ่มเข้ามาบุกเบิกตลาดพลังงานหมุนเวียนในเวียดนามมาเกือบ 10 ปีแล้ว โดยเล็งเห็นถึง “สภาพภูมิประเทศที่เป็นใจ” และ “การสนับสนุนจากภาครัฐ” ทำให้บริษัทตัดสินใจเข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลายแห่ง
ปัจจุบัน B.Grimm Power มีโครงการที่ดำเนินการแล้วในเวียดนาม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Dau Tieng 2 ขนาด 240 เมกะวัตต์ในจังหวัดเต็ยนิญ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Phu Yen ขนาด 257 เมกะวัตต์ในจังหวัดฟูเยน ซึ่งทั้งสองโครงการได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2562 สะท้อนให้เห็นถึงความรวดเร็วในการดำเนินงาน นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา Amata Power Bien Hoa ซึ่งมีระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
สำหรับโครงการในอนาคต B.Grimm Power ยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม Quang Ninh ขนาด 100 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้า LNG ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ที่ฮาติ๋ญ และการขยายโรงไฟฟ้า LNG ที่กาเมา ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวียดนาม
Phu Yen TTP ต้นแบบความสำเร็จที่ขับเคลื่อนด้วย ESG
หนึ่งในโครงการที่เป็นเสาหลักของ B.Grimm Power ในเวียดนามคือ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Phu Yen TTP ซึ่งนอกจากจะเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีกำลังการผลิต 257 เมกะวัตต์และผลิตไฟฟ้าได้กว่า 317.1 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงในปี 2567 แล้ว ยังถือเป็นต้นแบบความสำเร็จที่โดดเด่นในด้านการดำเนินธุรกิจตามหลักการ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาของ B.Grimm Group ที่ว่า “ทำธุรกิจด้วยความเมตตาเพื่อการพัฒนาอารยธรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติ”
ในมิติของ สิ่งแวดล้อม (Environmental)
โรงไฟฟ้าแห่งนี้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 300,000 ตันต่อปี ใช้น้ำอย่างคุ้มค่าโดยไม่มีการปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อม และมีระบบจัดการของเสียอันตรายที่ได้มาตรฐานสากล รวมถึงแผนการรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์เมื่อหมดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยห้ามการล่าสัตว์พื้นเมืองอย่างเคร่งครัดในบริเวณโรงไฟฟ้า
ในมิติของ สังคม (Social)
โครงการนี้สร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นถึง 100% และมีสัดส่วนพนักงานหญิงสูงถึง 40% ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับชุมชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) อย่างต่อเนื่อง เช่น การสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่ การสนับสนุนด้านการศึกษา และการจัดบริการตรวจสุขภาพให้กับคนในชุมชน
ในมิติของ ธรรมาภิบาล (Governance)
Phu Yen TTP มีการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพและโปร่งใส โดยการกู้ยืมเงินทุนสำหรับโครงการได้รับการรับรองเป็น “Green Loan” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมตามมาตรฐานสากล
ความท้าทายและโอกาสในอนาคต
แม้จะได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ แต่การดำเนินธุรกิจในเวียดนามก็ยังคงมีความท้าทาย โดยเฉพาะ “ข้อจำกัดด้านสายส่ง” และ “ความไม่แน่นอนของนโยบาย” ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุน แต่ B.Grimm Power ก็รับมือกับความท้าทายเหล่านี้ด้วยกลยุทธ์เชิงรุก โดยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น MOIT เพื่อหารือและแบ่งปันความเสี่ยงและผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ เช่น ระบบการจัดการพลังงาน (EMS) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยลดข้อจำกัดของโครงข่ายไฟฟ้า และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ด้วยแผน PDP 8 ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด B.Grimm Power จึงมองเห็นโอกาสในการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดเวียดนาม เช่น ระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) และ โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (smart grid) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงให้กับระบบพลังงานแห่งชาติในระยะยาว