ร้อง ‘2 กมธ.’ ค้านแก้ ก.ม.สารเร่งเนื้อแดง-นำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐ
เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 68 ที่รัฐสภา นายณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะรองประธาน กมธ.การสาธารณสุข คนที่หนึ่ง สภาผู้แทนราษฎร รับยื่นหนังสือ จาก 3 องค์กร ได้แก่ 1.สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ 2.สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสัตว์ปีก และ 3.สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย เพื่อคัดค้านการผ่อนปรนมาตรการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐอเมริกา
กลุ่มตัวแทนฯ ผู้ยื่นหนังสือ กล่าวว่า ประเทศไทยห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงมาโดยตลอด และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลกว่า 160 ประเทศทั่วโลก หากไทยยอมผ่อนปรนจะกระทบหนักทั้งความปลอดภัยของผู้บริโภค สุขภาพของสัตว์เลี้ยง ความเชื่อมั่นต่อสินค้าเนื้อสัตว์ และโอกาสการส่งออก โดยเฉพาะสู่สหภาพยุโรป จีน และรัสเซียที่เข้มงวดอย่างยิ่งต่อสารชนิดนี้ สำหรับข้อกังวลต่อปัญหาที่มีผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน หรือไทรอยด์ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและโรคมะเร็ง ผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ที่อาจบริโภคเนื้อปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง ส่งผลต่อพฤติกรรมและสุขภาพอย่างรุนแรง กระทบต่ออุตสาหกรรมสุกรและสัตว์ปีกไทย โดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และทำให้ไทยเสียโอกาสทางการส่งออกในอนาคต
น.ส.กัลยพัชร รองประธาน กมธ.สาธารณสุข กล่าวภายหลังรับยื่นหนังสือว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุม กมธ. ในวันที่ 28 ส.ค.นี้ โดยเมื่อได้รับทราบเรื่องดังกล่าว ตนรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการใช้สารเร่งเนื้อแดงในสัตว์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนชาวไทยและมีผลต่อประชาชนอย่างแน่นอน จึงจะรีบพิจารณาวาระดังกล่าวอย่างเร็วที่สุด
ด้านนายณรงเดช ประธาน กมธ.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบของพี่น้องเกษตรกรจากการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา เป็นสิ่งที่ทางคณะ กมธ. ทวงถามรัฐบาลมาโดยตลอด ซึ่งได้มีการเชิญกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาสอบถามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้รัฐบาลในฐานะผู้ที่รับผิดชอบการเจรจา ควรเริ่มคุยกับผู้ประกอบการทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบ และหามาตรการความช่วยเหลือ รวมทั้งรับฟังความเห็นว่าสิ่งใดที่รับได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้ กมธ.การเกษตรฯ จะรับเรื่องดังกล่าวไว้และติดตามอย่างเร่งด่วนต่อไป.