ผู้กำกับ ‘โศกาภิวัฒน์’ แจงดราม่า แบนโศกาภิวัฒน์ ยันตั้งใจสร้างจากนิยาย ไม่ได้มาจากแฟนฟิค!
จากกรณีดราม่าภาพยนตร์ “โศกาภิวัฒน์” ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนแฮชแท็ก #แบนโศกาภิวัฒน์ ติดเทรนด์ X เนื่องจากผู้ชมบางส่วนมองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีต้นกำเนิดมาจากแฟนฟิคชั่น ซึ่งไม่ควรถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์นั้น ล่าสุดในงานกาล่าภาพยนตร์ดังกล่าว “คุณแบงค์-ณัฐชัย จิระอานนท์” ผู้กำกับภาพยนตร์ โศกาภิวัฒน์ ได้ออกมาเปิดใจและชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า
"ตั้งแต่มีดราม่าเข้ามาต้องบอกเลยว่าตัวผมเองที่เป็นผู้กำกับ แล้วก็ทีมงานทั้งค่ายเราไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแต่ว่าพอมันมีดราม่าเกิดขึ้นมา สิ่งหนึ่งก็คือเราพยายามทำความเข้าใจก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ต้องเรียนตรงๆ ว่าประเด็นเรื่องของแฟนฟิคมันเป็นประเด็นที่ใหม่สำหรับตัวแบงค์เองและใหม่สำหรับตัวค่าย คือเรามีความจริงใจในการทำโปรเจ็กต์นี้ เพราะจริงๆ แล้วรูปบวงสรวงที่มันเป็นประเด็นดราม่าขึ้นมา คือเราโพสต์รูปนั้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ซึ่งตัวเราลง ตัวนักแสดงทุกคนก็ลง และเราก็ติดแฮชแท็กคำว่าโศกาภิวัฒน์อย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่ตอนนั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบเลี่ยงอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าดราม่ามันมาเกิดช่วงกรกฎาคม ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงมาเกิดช่วงนั้น
แต่อยากจะบอกว่าเราพยายามที่จะสื่อสารและใช้แฮชแท็กนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ก็เข้าใจว่าเป็นประเด็นที่กระทบกระเทือนความรู้สึกของแฟนๆ แต่แบงค์ก็ยืนยันว่าหนังเรื่องนี้เราตั้งใจทำจากนิยายจริงๆ (โชว์เล่มนิยายให้ดู) ด้านในมันก็จะมีอาร์ตเวิร์กที่เป็นของนักเขียนทำขึ้นมาเอง ซึ่งอาร์ตเวิร์กเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับศิลปินเกาหลี หรือแม้กระทั่งดูในตัวของนิยาย ต้องบอกก่อนว่าตอนที่มันเป็นแฟนฟิค มันเล่าเรื่องแฟนฟิคด้วยการใช้สัมผัสการเล่าเรื่องเหมือนคนคุยไลน์กันและใช้รูปโปรไฟล์เป็นศิลปินวงเกาหลี หลังจากนั้นนักเขียนเขาเขียนเป็นเล่มนี้ขึ้นมา ซึ่งพอเป็นเล่มนี้เขาก็ไม่ได้ใช้อาร์ตเวิร์กที่เป็นศิลปินเกาหลี แล้วเขาก็เปลี่ยนสัมผัสในการเล่าเป็นบทบรรยายเหมือนของนิยายในแบบปกติ ซึ่งตัวค่ายหรือตัวทีมงานผู้ใหญ่ของเรา เราชอบเนื้อเรื่องที่เป็นนิยายเล่มนี้แล้วก็ซื้อมาเอามาพัฒนาเป็นหนัง
เพราะฉะนั้นอยากให้เข้าใจกันว่าในแง่ของการทำให้มันถูกต้องในเรื่องของลิขสิทธิ์ คือเราทำตรงไปตรงมาแบบนี้ แต่เราก็ไม่ละเลยความรู้สึกของแฟนนิยาย เราก็พยายามที่จะอ่าน พยายามที่จะเข้าใจพวกเขาตลอด ซึ่งตัวแบงค์เองที่เป็นผู้กำกับ หัวหน้าทีมก็ต้องขอใช้พื้นที่ตรงนี้อยากจะขอโทษแฟนๆ ทุกๆ คนที่เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นและทำให้กระทบกระเทือนความรู้สึกของคนที่เคยอ่านในฉบับแฟนฟิคมาก่อน แต่ในส่วนของทีมผู้สร้างภาพยนตร์ด้วยความที่ว่าหนังมันจะฉายโรงแล้ว เราทำขนาดนี้แล้ว แล้วมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องของแบงค์คนเดียวมันมีนักแสดงหลายๆ คน และมีทีมงานหลายๆ คนเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจำเป็นที่จะต้องฉายตามปกติ ก็อยากให้แฟนๆ เข้าใจเราเหมือนที่เราเองพยายามเข้าใจความรู้สึกชองแฟนๆ เหมือนกัน ขอบคุณแล้วก็ขอโทษอีกครั้งหนึ่ง
คือตัวฉบับนิยาย นักเขียนเขาต่อยอดเนื้อเรื่องต่อยอดตัวคาแรกเตอร์มาจากตัวแฟนฟิคมาไกลพอสมควรประมาณนึง แล้วพอมาถึงฉบับภาพยนตร์ ตัวพวกเราเองก็ต่อยอดชนิดที่ว่าไกลจากนิยายออกไปอีก เพราะอย่างคาแรกเตอร์ตัวละครแต่ละตัวที่เขาบรรยายไว้ในนิยายเขาบรรยายไว้บางมาก แล้วพวกเราก็พัฒนาคาแรกเตอร์ให้มันลึกขึ้น เพราะอย่างที่บอกว่า 8 คนยืนด้วยกัน แล้วหนังมันมีเวลาเล่าประมาณชั่วโมงครึ่งไม่ถึง 2 ชั่วโมงเราต้องทำให้คาแรกเตอร์ของพวกเขามันชัดเจนขึ้นมาหมดแล้วทุกคนก็มีส่วนร่วมในการพัฒนาบท แล้วตัวบทภาพยนตร์เองก็มีการปรับให้มันเข้ากับยุคมากขึ้น ให้มันสมเหตุสมผลในการเล่าและก็เป็นภาพยนตร์มากขึ้น และองก์ 2 องก์ 3 แทบจะไม่เหมือนในนิยายเลย คือมันมาไกลกว่าเดิม สิ่งที่เราพยายามอยากจะบอกก็คือเราอยากให้จะเห็นถึงความตั้งใจของเราว่าเราหยิบเรื่องนี้เราหยิบมาเพราะอะไร เพราะเราชอบเซ็ตติ้งของมัน เราไม่มีเจตนาที่จะใช้ประโยชน์จากคอมมูนิตี้ของแฟนฟิค ก็อยากให้เข้าใจและลองเปิดใจดูหนังเรื่องนี้กัน"