“เครือสหพัฒน์” เล็งเปิดทางผู้บริหารมืออาชีพจากภายนอก ชี้ถึงเวลาธุรกิจครอบครัวต้องเปลี่ยนผ่าน
"เครือสหพัฒน์" เล็งเปิดทางผู้บริหารมืออาชีพจากภายนอก ชี้ถึงเวลาธุรกิจครอบครัวต้องเปลี่ยนผ่าน ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นก้าวบวกที่ช่วยสร้างการเติบโตยั่งยืน เช่นเครือ CP และเซ็นทรัลที่นำร่องแล้ว
วันที่ 22 สิงหาคม 2568 เวลา 10.44 น. สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า เครือสหพัฒน์ (Saha Group) กำลังเปิดกว้างต่อการดึงผู้บริหารมืออาชีพมานำทัพธุรกิจหลัก แทนการพึ่งพาเฉพาะสมาชิกครอบครัวเหมือนที่ผ่านมา
บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ วัย 88 ปี เปิดเผยว่า “ในยุคดิจิทัล ความคิดใหม่ ๆ เป็นสิ่งสำคัญ แม้หลายคนจะมองว่าเราให้ความสำคัญกับการบริหารโดยคนในครอบครัว แต่ผมอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น”
ปัจจุบันสหพัฒน์ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคในไทย ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้า และเครื่องสำอาง โดยประกอบด้วยบริษัทในเครือราว 300 แห่ง และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 15 แห่ง โครงสร้างการถือหุ้นเชื่อมโยงกันผ่านการถือหุ้นไขว้ โดยครอบครัวโชควัฒนาถือหุ้นหลักในบริษัทแกนสำคัญ
อย่างไรก็ตาม บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ย้ำว่าไม่จำเป็นที่ครอบครัวจะต้องลงมาบริหารเองเสมอไป โดยระบุว่า “ครอบครัวควรเป็นผู้ถือหุ้นและทำหน้าที่ดึงผู้บริหารเก่ง ๆ จากภายนอกเข้ามา” พร้อมวิจารณ์ว่า การฝากฝังการบริหารไว้กับคนในครอบครัวเป็นความคิดแบบยุคอนาล็อก
บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ยังระบุว่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำเป็นต้องมีผู้บริหารที่มีความสามารถจริง ถึงเวลาแล้วที่บริษัทของเราต้องเปลี่ยนผ่าน แม้ภายนอกจะยังดูเหมือนธุรกิจครอบครัว
เครือสหพัฒน์ก่อตั้งขึ้นจากร้านค้าของบิดาของบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ในปี 2485 ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจครอบครัวเชื้อสายจีนที่ใหญ่ที่สุดในไทย เทียบเคียงได้กับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และกลุ่มเซ็นทรัล ผลิตภัณฑ์สำคัญในเครือ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” และยังมีบริษัทร่วมทุนกับต่างชาติ เช่น Lion จากญี่ปุ่น
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการเปิดรับผู้บริหารมืออาชีพเป็นแนวทางบวกสำหรับสหพัฒน์ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ว่ากลุ่มใหญ่ ๆ อย่าง CP และเซ็นทรัลก็ใช้ผู้บริหารมืออาชีพแล้ว เช่น ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ซีอีโอ CPF ที่เคยทำงานที่ KPMG หรือ ญนน์ โภคทรัพย์ อดีตซีอีโอ Central Retail ที่เคยเป็นประธานธนาคารไทยพาณิชย์
“บทเรียนที่ได้จากธุรกิจครอบครัวในไทย คือ บริษัทที่เปิดรับผู้บริหารมืออาชีพ มักมีการเติบโตดีกว่าบริษัทที่ยังจำกัดอยู่แค่คนในครอบครัว” ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าว
อ้างอิง : asia.nikkei.com