“ความท้าทาย” ของนักลงทุน คือ... การหาว่า “กองทุนใด” ที่ควรค่าในการลงทุนจริงๆ !!!
Wealthy Way: รู้หรือไม่?…ปัจจุบัน (ณ 31 ก.ค. 25) มีกองทุนรวม 3,410 กอง จาก 23 บลจ. มูลค่ารวมกว่า 6.2 ล้านล้านบาท ให้คุณเลือกลงทุน
สำหรับสินทรัพย์การลงทุนหลักๆ ในโลกการลงทุนในปัจจุบัน มี “กองทุนรวม” ให้เลือกลงทุนครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นหุ้น, ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือก ไม่เพียงเท่านี้ยังมี “ชนิดหน่วยลงทุน” (Share-Class) ให้เลือกลงทุนตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างเพิ่มเติมให้อีก
ด้วยตัวเลือกที่มากมาย ความท้าทายที่แท้จริงในปัจจุบันจึงไม่ใช่ “การหากองทุน” แต่เป็นการหาว่ากองทุนใดที่ควรค่าในการลงทุนจริงๆ มากกว่า
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthythai’ มีเคล็ด (ไม่ลับ) ในการประเมินกองทุนใหม่จากทาง “Morningstar” ที่น่าสนใจมาฝากกัน
.
5 เคล็ด (ไม่ลับ) ในการ…ประเมิน “กองทุนใหม่”
โดยทาง “บจ.มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)” เปิดเผยผ่านรายงานว่า นักลงทุนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เชิงลึกหรือข้อมูลวงในเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ที่สำคัญสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ นักลงทุนต้องรู้ว่าควรมองหาอะไร และนี่คือ 5 ขั้นตอนที่จะช่วยประเมินได้ว่า “กองทุนใหม่” มีความน่าสนใจที่จะลงทุนหรือไม่?
1. ประเมินความได้เปรียบของ “ผลิตภัณฑ์”
“กองทุนใหม่” จำนวนมากอ้างว่ามีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงไม่กี่กองทุนเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้น ตัวอย่างเช่น สินทรัพย์ประเภทหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น (Asia ex-Japan equities) มีการแข่งขันอย่างมากและถูกครองตลาดโดยกองทุนชั้นนำเพียงไม่กี่กองทุนที่ถือครองสินทรัพย์ส่วนใหญ่
“ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในกองทุนใหม่ ควรตรวจสอบเอกสารแนะนำกองทุนและเปรียบเทียบนโยบายการลงทุนกับกองทุนที่มีอยู่แล้ว กองทุนนั้นมีปรัชญา กระบวนการ หรือโครงสร้างพอร์ตการลงทุนที่แตกต่างอย่างแท้จริงหรือไม่? เครื่องมือจาก ‘Morningstar.com’ สามารถช่วยประเมินได้ว่ากลยุทธ์ของกองทุนนั้นโดดเด่นจริงหรือเพียงเลียนแบบตัวเลือกที่มีอยู่”
ในสินทรัพย์ที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง และ “กองทุนเชิงรุก” (Active fund) มักทำผลงานได้ต่ำกว่าตลาด ตัวเลือกอย่าง “กองทุนเชิงรับ” (Passive fund) ที่มีต้นทุนต่ำอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า กลยุทธ์แบบเชิงรับมักทำผลงานได้ดีกว่าในตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น หุ้นสหรัฐขนาดใหญ่ (US large-cap equities)
“ขณะที่ ‘ผู้จัดการกองทุนเชิงรุก’ มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าในตลาดที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า เช่น จีน หรือ อินเดีย เป็นต้น”
2.เน้น “เนื้อหา” มากกว่ากระแส
นักลงทุนมักถูกดึงดูดด้วยกองทุนที่ “ไล่ตามกระแส” ล่าสุด แต่แนวทางนี้มักทำให้ผิดหวังเป็นส่วนใหญ่ จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อจะลงทุนในกองทุนธีม (Thematic funds) โดยเฉพาะกองทุนที่เกาะกระแสความนิยมในช่วงเวลานั้น
“งานวิจัยของ ‘Morningstar’ พบว่า กองทุนธีมมักทำผลงานได้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานหุ้นโลกในภาพรวม และนักลงทุนยิ่งทำให้ผลตอบแทนแย่ลงจากการเข้าลงทุนในจังหวะที่ไม่เหมาะสม ทางที่ดีควรมุ่งเน้นไปที่การประเมินว่ากองทุนดังกล่าวมีความสำคัญสำหรับในพอร์ตการลงทุนของคุณอย่างไร และสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินระยะยาวหรือไม่”
ก่อนลงทุน ควรถามตัวเองว่าธีมนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยระยะยาว เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร หรือการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบ หรือไม่ หรือเป็นเพียงการเกาะกระแสระยะสั้น บางครั้งคุณอาจพบว่ามีกองทุนที่มีพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายกว่า แต่ยังสามารถให้การลงทุนในธีมเดียวกันได้
3. ประเมินความเชี่ยวชาญของ “ทีมผู้จัดการกองทุน”
แม้กองทุนใหม่อาจยังไม่มีผลงานย้อนหลัง (Track record) แต่ “ผู้จัดการกองทุน” ย่อมมีประวัติการทำงาน ควรค้นหาประวัติของผู้จัดการพอร์ต ซึ่งมักมีอยู่ในเว็บไซต์ของบริษัทจัดการกองทุน และตรวจสอบประวัติการบริหารกองทุนผ่านแพลตฟอร์มอย่าง “Morningstar” ให้ความสำคัญกับผู้จัดการที่มีประสบการณ์ในสินทรัพย์ประเภทเดียวกันหรือใช้สไตล์การลงทุนแบบเดียวกัน และตรวจสอบกองทุนก่อนหน้าที่เคยบริหารว่ามีผลงานระยะยาวที่สม่ำเสมอหรือไม่
“นอกจากนี้ควรค้นหาชื่อผู้จัดการใน ‘Google’ เพื่อดูว่ามีการสื่อสารเกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของตนอย่างชัดเจนหรือไม่”
ผลงานในอดีตที่แข็งแกร่งและสอดคล้องกับสินทรัพย์ประเภทนั้นๆ เป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ว่า “กองทุนใหม่” อาจถูกบริหารอย่างไรในอนาคต
4. ประเมิน “วิธีการสร้างพอร์ต” การลงทุน
แม้ว่า “กองทุนใหม่” อาจยังไม่เปิดเผยการถือครองหลักทั้งหมด แต่ “เอกสารแนะนำกองทุน” จะระบุการลงทุน (Investment universe) กลยุทธ์ และระดับความเสี่ยงของกองทุน ควรมองเรื่องการกระจายการลงทุน (Diversification) ว่ากองทุนจะถือหลักทรัพย์จำนวนมาก หรือกระจุกตัวในไอเดียเพียงไม่กี่อย่าง กำลังรับความเสี่ยงมากกว่าที่ชื่อกองทุนบ่งบอกหรือไม่ เช่น กองทุนตราสารหนี้หลักบางกองทุนอาจนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (High-yield bonds)
“การลงทุนแบบพอร์ตที่ ‘กระจุกตัว’ หรือ พอร์ตที่มีการ ‘กระจายการลงทุน’ แบบใดดีกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ คุณควรอ่านเอกสารกองทุนอย่างละเอียด ตั้งความคาดหวังที่สมเหตุสมผล เกี่ยวกับผลตอบแทนและความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น”
5. “ต้นทุนต่ำ” ช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว
“ค่าธรรมเนียม” ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดที่บ่งบอกถึงผลตอบแทนระยะยาว กองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำมักอยู่ได้นานกว่าและทำผลงานได้ดีกว่ากองทุนที่มีต้นทุนสูงกว่า ควรตรวจสอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดและทำความเข้าใจวิธีการคำนวณค่าธรรมเนียม เช่น ค่าธรรมเนียมตามผลการดำเนินงาน (Performance fee) อาจลดผลตอบแทนลงอย่างมากขึ้นอยู่กับวิธีการเรียกเก็บ
“หากเป็นไปได้ ควรเลือกกองทุนที่มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้และโปร่งใส เงินทุกบาทที่จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมคือเงินทุกบาทที่ไม่ได้ถูกนำไปสร้างผลตอบแทนทบต้นให้คุณ”
ท้ายสุดทาง “Morningstar” มองว่า “กองทุนใหม่” มักถูกโปรโมทว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม แต่การไม่มีผลการดำเนินงานย้อนหลังนั้น เป็นเหตุผลให้ควรวิเคราะห์ตรวจสอบอย่างรอบคอบมากกว่าตัดสินใจตามอารมณ์ โดยการให้ความสำคัญกับข้อมูลต่างๆ ได้แก่ ความแตกต่าง เนื้อหา ประสบการณ์ของผู้จัดการ โครงสร้างพอร์ต และต้นทุน คุณสามารถใช้ข้อมูลที่เปิดเผยในเอกสารการลงทุน หรือเวปไซด์การลงทุน ที่มีอยู่เพื่อช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น
หวังว่า 5 เคล็ด (ไม่ลับ) ในการประเมิน “กองทุนใหม่” นี้ จะช่วยให้นักลงทุน “เลือกกองทุน” ได้อย่างเหมาะสมและตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของตัวเองได้ดียิ่งขึ้นไม่มากก็น้อย