‘อ้วน’เด้งฟ้าผ่าผวจ.อุบลฯ เฉ่งเบิกงบฯเยียวยาล่าช้า!
"มท.อ้วน" เด้งฟ้าผ่า “ผวจ.อุบลฯ” ช่วยราชการมหาดไทย สั่งรองผู้ว่าฯ ใช้งบเยียวยาประชาชนเต็มที่ "ธีรรัตน์" ซัดเบิกงบล่าช้าผิดปกติ ให้ 100 ล้าน ดันเบิกแค่ 5.5 หมื่น แจงกระทู้ฝ่ายค้านไม่ใช่ความผิดรัฐบาล โยนจังหวัดบกพร่องเอง
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยก่อนการประชุมมอบนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทยว่า ได้มีการสั่งย้ายว่าที่ พ.ต.อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ให้มาช่วยราชการที่กระทรวงมหาดไทย หลังมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณในการช่วยเหลือดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีการเบิกงบทดรองราชการจ่ายเพียง 55,000 บาท จากที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ 100 ล้านบาท ส่วนจะย้ายชั่วคราวหรือถาวรนั้น เดี๋ยวค่อยว่ากัน
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจในการเซ็นลงนาม ซึ่งได้เซ็นเรียบร้อยแล้ว โดยให้มาช่วยราชการสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อเปิดทางให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดคนที่หนึ่ง สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างเต็มที่
ส่วนเมื่อโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี จะทำให้เกิดปัญหาในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่หรือไม่นั้น นายภูมิธรรมย้ำว่า รองผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลอยู่แล้ว และให้ผู้ตรวจราชการเขต 14 ซึ่งดูแลจังหวัดเหล่านี้ไปกำกับดูแลอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะสามารถนำเงินมาถึงมือประชาชนได้เร็วที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังเลย เพราะเมื่อเช้าเพิ่งได้ข้อมูลที่ชัดเจน และพบว่าเป็นความจริง ตอนที่มี สส.พรรคการเมืองหนึ่งถามว่าที่จังหวัดอุบลราชธานีไม่ได้เงิน ซึ่งเราสงสัยอยู่ และ รมช.มหาดไทยได้โทร.สอบถาม โดยผู้ว่าฯ อุบลราชธานีได้ยืนยันแล้ว แต่ผลออกมาทำให้แปลกใจว่าตนขยายเงินให้ 100 ล้านบาท แต่ทำไมตัวเลขถึงออกมาน้อย จริงๆ ควรจะดูแล นี่คือเสียงบ่นที่ประชาชนรู้สึก ซึ่งไม่เข้าใจเหตุผลของท่านเหมือนกัน ตอนนี้จึงดึงกลับมาช่วยราชการที่กระทรวงก่อน และทุกอย่างจะดำเนินการไม่ให้สะดุด พี่น้องประชาชนได้รับเงินอย่างที่เราได้ขยายวงเงินไปแล้วเพื่อไปดูแลเขา
เมื่อถามย้ำว่า ผู้ว่าฯ อุบลราชธานีได้ชี้แจงว่าได้ใช้เงินบริจาคไปก่อน ถือว่าฟังขึ้นหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ใช้ไปก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ต้องให้ทั่วถึง แล้วเงินที่มีทั่วถึงทำไมถึงไม่ให้ จะเก็บเอาไว้อย่างไรไม่เข้าใจ
ด้าน น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการสั่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จ.อุบลราชธานี ชี้แจงเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณว่า เมื่อคืนที่ 6 ส.ค. เรียกประชุม โดยได้ให้ ปภ.แต่ละจังหวัดชี้แจงว่าเงินทดรองราชการ 100 ล้านบาทที่รัฐบาลมอบให้ไป และเงินที่ได้รับบริจาค รวมกับสิ่งของที่นำไปใช้นั้นมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง เพื่อให้มีความเหมาะสมกับจำนวนผู้อพยพ เนื่องจากในแต่ละจังหวัดมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะต้องดูถึงความสมเหตุสมผล
ส่วนปัญหาที่ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่กล้าจะเบิกจ่ายงบทดรองจ่ายของจังหวัด เพราะเกรงว่าจะผิดกฎหมายในการใช้เงินผิดประเภทใช่หรือไม่นั้น น.ส.ธีรรัตน์กล่าวว่า เรื่องนี้มีการพูดคุยกันแล้ว เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่มีการเรียกประชุมในส่วนของกรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ว่าฯ ลงมาไปจนถึงนายอำเภอ ที่ต้องใช้งบประมาณให้รับทราบแนวทางว่าตรงไหนคือความเร่งด่วนความจำเป็น และต้องของดเว้นในเรื่องของระเบียบ สามารถดำเนินการได้เลย ซึ่งวันนั้นทุกคนเข้าใจตรงกันหมด จึงต้องมาพูดคุยกันถึงสาเหตุความแตกต่างถึงความผิดปกติ หากจะบอกว่าทำงานล่าช้าต้องไปดูจังหวัดข้างๆ ด้วยที่มีผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บมากกว่า ในขณะที่จังหวัดตนเองมีผู้อพยพเพียงเท่านี้ ซึ่งต้องนำหลายๆ อย่างมาเปรียบเทียบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการเบิกจ่ายงบประมาณจะสามารถใช้ได้ในเฉพาะพื้นที่ แต่เหตุการณ์จริงคือชาวบ้านอำเภอน้ำยืน ไปอยู่ในศูนย์อพยพของอำเภออื่น จะมีปัญหาเรื่องการใช้งบหรือไม่ น.ส.ธีรรัตน์กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะเราดูเรื่องของที่มาแบบขาไปขากลับ หากประชาชนมาจากในพื้นที่ที่มีเหตุปะทะสามารถนำงบมาใช้ในพื้นที่ที่มาอยู่ได้
เมื่อถามว่า เหตุใดจึงไม่ทำแบบจังหวัดสุรินทร์ ที่ประกาศทั้งจังหวัด ซึ่งจะทำให้สามารถเบิกจ่ายได้เลย รมช.มหาดไทยกล่าวว่า อาจจะคำนวณดูในเฉพาะพื้นที่ที่มีการอพยพมาจริง ซึ่งต้องไปตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจน แต่ในเบื้องต้นเห็นได้ชัดว่ามีความผิดปกติ ในเรื่องของการชี้แจง แล้วไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าใจได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้กระทรวงต้องดำเนินการ
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เรื่องการเยียวยาผู้อพยพพื้นที่ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ถามนายกรัฐมนตรี โดยนายภูมิธรรมมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์มาตอบกระทู้แทน
โดยนายพริษฐ์กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติกรอบเงินเยียวยาให้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บรายละ 4 แสนถึง 10 ล้านบาท แต่ยังมีประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบแต่อาจจะไม่ถึงแก่ชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ อยากสอบถามถึงแนวทางการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเวลาที่มีการอพยพว่า เป็นที่น่าเสียดายเรื่องการแจ้งเตือนผ่านเซลล์บรอดคาสต์ที่จะแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนโดยตรง ซึ่งทราบมาว่ามีการแจ้งเตือนไปแค่ 1 ครั้ง ใน 3 จังหวัด เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาเท่านั้น จะมีการจัดทำเอสโอพีหรือมาตรฐานการปฏิบัติงานเพิ่มข้อมูลจากต้นทางแล้วนำมาใช้ในระบบเซลล์บรอดคาสต์เมื่อไหร่ และจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
นอกจากนี้ เรื่องการดูแลผู้อพยพ 5 วันแรกล้วนมาจากเงินบริจาคและเงินของท้องถิ่น แม้ว่าส่วนกลางได้อนุมัติวงเงินในการเยียวยาประชาชนจังหวัดละ 100 ล้านบาท แต่ จ.อุบลราชธานีเบิกจ่ายเพียง 5.5 หมื่นบาทเท่านั้น ทำให้เกิดคำถามต่อมา หากเราไม่สามารถเชื่อคำพูดของผู้ว่าฯ อุบลราชธานี ที่ น.ส.ธีรรัตน์เคยโฟนอินเข้ามาในสภาแห่งนี้ และผู้ว่าฯ อุบลราชธานียืนยันว่าไม่มีปัญหาในเรื่องของการเบิกจ่าย ต่อไปนี้จะเชื่อคำพูดอะไรของรัฐบาลได้อีก จึงอยากทราบสาเหตุที่เบิกจ่ายช้าเช่นนี้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร แม้ว่าท่านจะย้ายผู้ว่าฯ อุบลราชธานีไปแล้ว แต่ในฐานะส่วนกลางจะรับผิดชอบอย่างไรกับความผิดพลาดตรงนี้ และจัดเรียงลำดับความสำคัญการใช้งบประมาณ 3 ส่วน คือ เงินทดรอง เงินท้องถิ่น และเงินบริจาค ให้เกิดความโปร่งใสอย่างไร
ด้าน น.ส.ธีรรัตน์ชี้แจงว่า เรื่องการส่งข้อความผ่านทางเซลล์บรอดคาสต์ไปทันทีเมื่อวันที่ 24 ก.ค. รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยแจ้งให้ประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ให้ได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ในส่วนของเอสโอพีเราได้มีการเช็กข้อมูลในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสอบถามไปยังพื้นที่ เมื่อได้รับความชัดเจนแล้ว รวมทั้งยังใช้ช่องทางแนวปฏิบัติเดิมเรื่องบุคลากรในท้องถิ่นให้ลงไปในท้องที่ทันที
ส่วนกรณี จ.อุบลราชธานี ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้รับทราบข้อมูลว่าทางจังหวัดมุ่งเน้นไปในเรื่องของการใช้เงินของท้องถิ่นก่อน รวมถึงสิ่งของและเงินที่ได้รับบริจาคมา ได้รับทราบตัวเลขว่าได้รับเงินบริจาค 5.5 ล้านบาท และจังหวัดอื่นๆ ประมาณ 1-2 ล้านบาท ถือว่ามีความบกพร่อง เพราะได้จัดประชุมกันในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทดรองราชการที่เพิ่มเติมเข้าไปแล้วว่าขอให้ใช้จ่ายเงินในส่วนนี้ทันที ซึ่งเมื่อเรียงร้อยเรื่องราวต่างๆ มีความชัดเจนว่ามีความผิดพลาดในส่วนของจังหวัด ไม่ใช่จากรัฐบาลที่ส่งความช่วยเหลือลงไป
“อาจจะมีคนอาศัยช่องนั้นว่าตัวเลขน้อยเลยหยิบจับไปเสนอข่าวก่อนโดยโจมตีรัฐบาล ไม่ได้ฟังข้อความว่าความเป็นจริงเกิดจากเหตุใด จึงต้องเรียนนายพริษฐ์ว่า ดิฉันทราบดีในความเป็นห่วงของท่าน แต่การกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารที่ได้ใช้วิจารณญาณที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์กับประชาชนโดยส่วนรวม ในเรื่องที่ท่านให้ความห่วงใยกับเรื่องชดเชยเยียวยาทั้งผู้ประกอบการและพี่น้องแรงงาน ซึ่งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับประชาชนเพื่อสำรวจความเสียหายด้วย ซึ่งการให้ครบถ้วนต้องใช้เวลา แต่ดิฉันไม่ละเลยในเรื่องนี้แน่นอน” รมช.มหาดไทยระบุ
ที่กองบัญชาการกองทัพบก (ทบ.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้แทนกองทัพบก รับมอบอุปกรณ์ตรวจจับอากาศยานไร้คนขับแบบพกพา จำนวน 30 ชุด และสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพของทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มูลค่ารวม 9,434,000 บาท โดยมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และคณะ เป็นผู้แทนส่งมอบ
วันเดียวกัน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF นำโดยนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF ได้จัดตั้งกองทุนมูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติภารกิจ นอกจากนี้ นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส มอบเงินสนับสนุนกองทัพ 50 ล้านบาท.