วันนี้ “วันแมวโลก 2568” มีที่มาที่ไปอย่างไร เตือนเจ้าของต้องจดทะเบียนสัตว์เลี้ยง
วันนี้ (วันที่ 8 สิงหาคม 2568) เป็น “วันแมวโลก 2568 ” หรือ วันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปีเป็น “วันแมวโลก” หรือ "วันแมวสากล" (International Cat Day)
ที่มาของ วันแมวโลก
"วันแมวโลก"มีขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 โดยกองทุนระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิการสัตว์ (International Fund for Animal Welfare) หรือ IFAW ได้กำหนดขึ้น เพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้เกี่ยวกับแมว และเรียนรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือและพิทักษ์รักษาแมว เพื่อนแสนดีของมนุษย์ ต้องพบเจอ โดยเฉพาะการถูกทิ้งขว้างจากเจ้าของที่ไม่มีความรับผิดชอบ
บางประเทศเรียกวันแมวสากลว่า "วันแมวโลก" (World Cat Day) และวันแมวสากลได้แพร่หลายไปทั่วโลกนับแต่ริเริ่มเป็นต้นมา
แต่อย่างไรก็ตามแม้ประเทศส่วนใหญ่จะถือวันที่ 8 สิงหาคม เป็นวันแมวสากล แต่รัสเซียมีวันแมวแห่งชาติ (National Cat Day) ในวันที่ 1 มีนาคม แทน ส่วนสหรัฐมีทั้งวันแมวสากล และวันแมวแห่งชาติในวันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี
สำหรับในประเทศมีแมวจรจัดจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ทำให้กทม.ออกกฏหมายใหม่ เพื่อลดปัญหาหมาแมว ป้องกันปัญหาปล่อยเร่ร่อน สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และลดปริมาณสัตว์จรจัด สามารถติดตามเจ้าของสัตว์ได้ ขณะเดียวกัน เพื่อให้ผู้เลี้ยงดูแลสัตว์ของตนเองอย่างมีคุณภาพ
เตือนเจ้าของแมวในกรุงเทพต้องจดทะเบียนสัตว์เลี้ยง
นางสาวทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวถึงข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ที่จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการวันที่ 10 ม.ค.69 ว่าเจ้าของสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์เกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครนี้ ต้องแจ้งต่อสำนักงานเขต ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ข้อบัญญัติฯ ใช้บังคับ หรือภายในวันที่ 9 เม.ย.2569
โดยผู้ที่เลี้ยงมาก่อนวันที่กฎหมายกำหนด จำนวนกี่ตัวก็ตาม จะไม่มีความผิด เพราะกฎหมายไม่เอาผิดย้อนหลัง แต่ต้องไปแจ้งขึ้นทะเบียนตามกำหนด หลังจากแจ้งแล้ว ไม่สามารถเพิ่มจำนวนอีกได้ เพราะกฎหมายบังคับใช้แล้ว
ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ไปจดแจ้ง จะต้องควบคุมดูแลการเลี้ยงให้ดี ไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญ เพราะหากถูกร้องเรียนจะมีโทษสูงกว่าปกติ กรณีหมาแมวท้องอยู่ สามารถแจ้งได้ภายในวันที่ 9 เม.ย.69 จะไม่มีความผิดใดๆเช่นกัน เพราะถือว่าแจ้งแล้ว แต่หลังจากนั้นต้องควบคุมการเลี้ยงไม่ให้เพิ่มจำนวนอีก
ส่วนสัตว์เลี้ยงที่ออกลูกเกินจำนวนที่แจ้งไว้ต้องหาทางระบายออกหรือนำไปให้ผู้อื่นเลี้ยง หากเลี้ยงต่อไปก็สามารถทำได้ แต่ต้องระวังเรื่องข้อร้องเรียน จึงสมควรที่จะทำหมันสัตว์เลี้ยงไม่ให้เพิ่มจำนวน ส่วนกรณีสัตว์เลี้ยงที่แจ้งไว้ตายหรือหมดอายุไขทั้งหมดแล้ว ผู้เลี้ยงจึงจะนำสัตว์เลี้ยงตัวใหม่มาเลี้ยงได้ และจดทะเบียนเริ่มต้นใหม่โดยไม่ขยายจำนวนเหมือนเดิม
สำหรับแนวทางการปรับไม่เกิน 25,000 บาท ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมาตรา 29 หากบังเอิญเจ้าหน้าที่พบว่ามีการเลี้ยงจำนวนมากกว่าปกติ ก็สามารถตรวจสอบและดำเนินการได้ แต่โดยปกติเจ้าหน้าที่ไม่ได้ลงพื้นที่เพื่อหาความผิดกับผู้เลี้ยง จะคำนึงถึงข้อร้องเรียนและการสร้างความเดือดร้อนเป็นหลัก
เพราะเมื่อเกิดข้อร้องเรียนแล้ว เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องดำเนินการ หากไม่ดำเนินการตามหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็มีความผิดกรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่เหมือนกัน ทั้งนี้ กรณีร้องเรียนต้องมีการตรวจสอบตามความเป็นจริง เพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย และเพื่อป้องกันการร้องเรียนเพื่อกลั่นแกล้ง
ลูกสัตว์เลี้ยงที่เกิดหลังการจดแจ้ง หรือเกินจำนวนที่จดแจ้ง ผู้เลี้ยงไม่สามารถเลี้ยงต่อได้ เพราะเกินจำนวนที่จดแจ้งไว้ เช่น ก่อนวันที่ 9 เม.ย.69 หมาแมวกำลังตั้งท้องอยู่ผู้เลี้ยงสามารถจดแจ้งได้ไม่มีความผิด แต่เมื่อหมาแมวออกลูกมาแล้ว ลูกเหล่านั้นไม่สามารถท้องหรือเพิ่มจำนวนอีกได้ เพราะถือว่าเกินกว่าที่จดแจ้งไว้ ผิดกฎหมาย หากมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาผู้เลี้ยงต้องนำไปให้ผู้อื่นเลี้ยงหรือหาวิธีนำออกต่อไป
หรือหากจะเลี้ยงไว้ ก็ต้องเลี้ยงให้ดี ไม่ให้เกิดการร้องเรียน เพราะหากมีการร้องเรียน และเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการเจ้าหน้าที่จะมีความผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ด้วย ที่ผ่านมามีข้อร้องเรียนจำนวนมาก จากนี้ไปหากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เวลามีข้อร้องเรียนมาจะมีความผิดแรงขึ้นกว่าเดิม จึงขอความเห็นใจให้เจ้าหน้าที่กทม.และขอความร่วมมือในการจดทะเบียนสัตว์เลี้ยงด้วย รองผู้ว่าฯทวิดา กล่าว
กฎหมายดังกล่าวบังคับใช้โดยเจตนารมณ์ ต้องการให้พื้นที่กรุงเทพฯ เป็นเขตควบคุมสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะหมาแมว ป้องกันปัญหาปล่อยเร่ร่อน สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และลดปริมาณสัตว์จรจัด สามารถติดตามเจ้าของสัตว์ได้
ขณะเดียวกัน เพื่อให้ผู้เลี้ยงดูแลสัตว์ของตนเองอย่างมีคุณภาพ มีการรักษาโรค ฉีดวัคซีน และดูแลความสะอาดไม่ให้เกิดกลิ่นรบกวน มีสถานที่เลี้ยงอย่างเหมาะสมกับจำนวนที่เลี้ยง รวมถึงเมื่อสัตว์ตายก็ดำเนินการอย่างเหมาะสม ไม่แพร่กระจายเชื้อโรค
8 พฤติกรรมยอดฮิตของน้องเหมียวที่ทาสต้องรู้
- เห็นกล่องเป็นไม่ได้ ต้องขอเข้าไปนอน
น้องแมวส่วนใหญ่มักจะชอบอยู่ในกล่องหรือพื้นที่แคบ ๆ เพราะทำให้รู้สึกปลอดภัย ผ่อนคลาย และไม่เครียด
- แมวเป็นหมอนวดชั้นเยี่ยม
แมวถึงชอบเอาเท้าขยับไปมาเวลาอยู่บนตัวเรา พฤติกรรมนี้เรียกว่า happy paws เป็นพฤติกรรมติดตัวน้องเหมียวมาตั้งแต่ยังเป็นแมวเด็กที่ตาน้องยังไม่เปิด เวลาดูดนมจากอกแม่แมว น้องจะใช้อุ้งเท้าหน้าคอยนวด ๆ บริเวณเต้านมแม่แมวเพื่อให้น้ำนมไหลออกมา
ลูกแมวจะรู้สึกผ่อนคลายขณะดูดนมแม่ แถมยังมีการปล่อยฟีโรโมนออกมาจากต่อมเหงื่อบริเวณอุ้งเท้าอีกด้วย ดังนั้นหากเจ้าเหมียวที่บ้านมีท่าทางแบบนี้แปลว่าเขากำลังรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมาก ๆ เวลาที่อยู่กับเรา หรือถ้าอยู่ดี ๆ น้องก็มานวด อีกนัยหนึ่งก็แปลได้ว่าน้องอยากเล่นกับเราได้เหมือนกัน
- ถูไถเก่งสุด ๆ
การที่แมวชอบเอาหัวหรือหน้ามาถูเราเหมือนเป็นการทักทายอย่างหนึ่งของน้อง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการป้ายฟีโรโมนไว้บนตัวเราเพราะน้องกำลังแสดงความเป็นเจ้าของ
- ชอบอยู่ที่สูง ๆ
สาเหตุที่แมวชอบอยู่บนที่สูงไม่ใช่แค่เพราะน้องจะคอยแอบเฝ้ามองรอตะครุบเหยื่อเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะต้องการหนีจากเสียงดังและความวุ่นวายต่าง ๆ เช่น เด็กเล็ก สุนัข หรือแมวตัวอื่น น้องแอบเป็นสัตว์ขี้รำคาญ
- มีของขวัญมาฝากทาสเสมอ
เจ้าเหมียวของเราก็มีวิธีการแสดงความรักและความขอบคุณเหล่าทาสที่เลี้ยงดูมาอย่างดี หรือบางทีก็อาจจะเป็นห่วงว่าเราจะกินข้าวไม่อิ่ม น้องก็เลยจะชอบเอาของขวัญมาฝากเรา แมลงสาบบ้าง จิ้งจกตายบ้าง หนูตายบ้าง ทำเอาทาสแมวแต่ละคนขนลุกไปตาม ๆ กัน แต่อย่าโกรธน้องกันล่ะ ที่คาบมาฝากก็เพราะว่ารักนะ
- ปัสสาวะตามที่ต่าง ๆ
การที่แมวชอบฉี่ตามที่ต่าง ๆ ก็เป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งทั้งต่อแมวด้วยกันเองและต่อมนุษย์เพื่อแสดงตัวว่าเขามีตัวตนอยู่แถวนี้ อย่าคิดจะเมินฉัน! แต่ถ้าใครเลี้ยงแมวตัวเดียวที่บ้านแล้วน้องชอบฉี่ตามที่ต่าง ๆ อาจแปลว่าน้องกำลังรู้สึกว่าถูกคุกคาม เครียด หรือมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ต้องคอยสังเกต
- ชอบข่วนโซฟาและเฟอร์นิเจอร์
แมวมักจะข่วนสิ่งของต่าง ๆ เพื่อลับเล็บให้คมและปล่อยกลิ่นหรือฟีโรโมนจากอุ้งเท้าออกมาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เฟอร์นิเจอร์ในบ้านพังไปหมดซะก่อน
เราจึงควรหาที่ลับเล็บให้เจ้าเหมียวเอาไว้ที่บ้านเพื่อไม่ให้เขาไปข่วนของใช้จนเกิดความเสียหาย แต่ถึงแม้เราจะมีที่ลับเล็บสำหรับเจ้าเหมียวแล้วก็อย่าลืมตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ
- อึเสร็จต้องกลบ (หรือบางครั้งก็ไม่กลบ?)
โดยสัญชาตญาณแล้วแมวจะกลบอึของตัวเองเนื่องจากหลายเหตุผล เช่น เวลาน้องเข้าไปอยู่ในอาณาเขตของแมวตัวอื่น ก็จะต้องปกปิดหรือหลบซ่อนไม่ให้เจ้าถิ่นจับได้ว่าน้องอยู่แถวนั้น แต่ในทางกลับกันแมวบางตัวอาจจะตั้งใจทิ้งอึเอาไว้โดยไม่กลบ เพื่อต้องการแสดงอาณาเขตให้แมวตัวอื่นรับรู้ แต่หากอยู่ ๆ แมวของเราไม่ยอมกลบอุจจาระก็ให้ลองสังเกตดูว่าเกิดจากสาเหตุข้างต้นไหม
หรือมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้น้องไม่กลบ เช่น ไม่ชอบทรายแมว ไม่ชอบกระบะทราย กระบะทรายเล็กเกินไป กระบะทรายสกปรก ฯลฯ หากลองแก้ปัญหาเหล่านี้แล้วแมวยังไม่กลบอุจจาระควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาเพิ่มเติม
แมวแต่ละตัวจะมีการแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป เจ้าของจึงควรต้องรู้ความหมายของพฤติกรรมเหล่านี้เอาไว้จะได้เดาอารมณ์น้องถูก และหากแมวของเรามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ก็อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติหรือปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้ อย่าลืมสังเกตพฤติกรรมน้องแมวกัน
10 อาหารที่ไม่ควรให้แมวกิน
- ยาพาราเซตามอล
ใครที่เวลาแมวป่วยแล้วให้แมวกินยาพาราบ้างยอมรับมาซะดี ๆ เพราะกำลังทำผิดอย่างใหญ่หลวง ยาพาราเซตามอลเป็นยาที่อันตรายมากสำหรับแมว ถ้าแมวป่วยห้ามให้แมวกินพาราเด็ดขาดแม้จะแค่เม็ดเดียวก็ตาม! เพราะจะทำให้แมวเกิดความผิดปกติในระบบเลือด ทำให้การลำเลียงออกซิเจนลดลงอาจทำให้หอบ อาเจียน เหงือกคล้ำ หน้าและเท้าบวม ถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต และถ้าน้องแมวกินพาราเข้าไปปริมาณมากอาจตายได้ภายใน 24 – 48 ชั่วโมง
- นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว
ในนมวัวมีแลคโตสที่เป็นอันตรายกับน้องแมว เพราะแมวไม่มีเอนไซม์สำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตส ขืนน้องกินนมวัวเข้าไปท้องเสีย อาเจียน หรือไม่ก็ท้องอืดบ่อย ๆ แน่นอน ถ้าจะให้แมวกินนมควรเป็นนมแพะหรือนมสำเร็จรูปสำหรับแมวโดยเฉพาะ และนอกจากนมวัวแล้ว พวกผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น ชีส เนย ฯลฯ ก็ไม่ควรให้แมวกิน
- ปลาดิบ
ถ้าปลาไม่ได้ผ่านการปรุงอาหารโดยใช้ความร้อน น้องเหมียวอาจได้รับเชื้อโรคและทำให้ท้องเสียได้ แถมเสี่ยงต่อพยาธิด้วย ปลาดิบให้กินได้นาน ๆ ที แต่ว่าต้องเป็นปลาที่สะอาดและไม่ควรให้แมวกินมากจนเกินไป
- ก้างปลาและกระดูก
นอกจากปลาแล้ว พวกก้างปลากับกระดูกคนก็ชอบให้แมวกินไม่แพ้กัน ทั้ง ๆ ที่ของพวกนี้สามารถติดคอหรือทิ่มอวัยวะต่าง ๆ ของแมวได้ถ้าน้องกินเข้าไป และถ้ากระดูกหรือก้างปลาแหลมมาก ๆ อาจร้ายแรงถึงขั้นทิ่มกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กของแมวจนทะลุหรือเกิดเลือดออกได้
- ตับ
หลายคนชอบให้แมวกินตับเป็นอาหารเพราะคิดว่าก็ให้กินมาตั้งนานแล้วไม่เห็นจะป่วยอะไร แต่ความจริงแล้วตับจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวของแมว เพราะตับส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินเอในร่างกายแมว จึงเป็นอาหารที่ไม่ควรให้แมวกินทุกวันหรือกินบ่อย ๆ เพราะถ้ากินในปริมาณมากหรือกินติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้แมวกระดูกเปราะหรือเกิดความผิดปกติต่อการเติบโตของกระดูกในระยะยาวได้
- ช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตอันตรายกับแมว เพราะในช็อกโกแลตมีสารธีโอโบรมีน (Theobromine) หากน้องกินเข้าไปจะเกิดอาการท้องเสีย อาเจียนกระวนกระวาย และถ้ากินเข้าไปมาก ๆ อาจชักไปจนถึงเสียชีวิตได้
- กระเทียมและหัวหอม
กระเทียมและหัวหอมทั้งแบบสุกหรือดิบก็ห้ามให้แมวกินเพราะจะเข้าไปรบกวนการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้น้องเกิดภาวะโลหิตจางได้
- มันฝรั่งดิบ มะเขือเทศ มะเขือยาว
ทั้งมันฝรั่งดิบ มะเขือเทศ และมะเขือยาว มีสารโซลานีนซึ่งเป็นพิษกับน้องแมว หากน้องแมวได้รับสารพิษชนิดนี้เข้าไปจะทำให้อาเจียนและท้องเสีย
- องุ่นและลูกเกด
องุ่นและลูกเกดสามารถทำให้แมวไตวายเฉียบพลันได้ และเป็นอันตรายต่อตับด้วย ถึงแม้จะกินในปริมาณน้อยก็สามารถทำให้น้องป่วย ท้องเสีย อาเจียน และเกิดอาการขาดน้ำได้
- ไข่ดิบ
ไข่ดิบอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้แมวเกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ นอกจากนี้ในไข่ขาวดิบก็มีสารอะวิดิน (Avidin) ที่จะไปไปลดการดูดซึมไบโอตินทำให้แมวมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น ขนร่วง ขนหยาบ เพราะฉะนั้นจะให้น้องกินอะไรก็ควรเป็นอาหารปรุงสุกจะดีต่อสุขภาพน้องแมวมากกว่า
เหล่าทาสแมวคงไม่มีใครชอบเวลาเห็นน้องแมวป่วย เพราะเราต้องใส่ใจเรื่องอาหารของน้องเหมียวให้มาก ๆ ควรคิดเสมอว่าร่างกายของคนกับของแมวไม่เหมือนกัน อะไรที่เรากินได้ ไม่ได้แปลว่าแมวก็กินได้ ควรให้เขาได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ น้องสุขภาพดีทาสแมวอย่างเราก็มีความสุขไปด้วย
CR .โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน
ส่วนบรรยากาศในโลกออนไลน์วันนี้ ต่างโพสต์ภาพแมวในโซเชียลมีเดีย มีคนกดไลค์กดแชร์จำนวนมาก พร้อมติดแฮชแท็ก #วันแมวโลก