HSBC พร้อมดันธุรกิจ คว้าโอกาสทองจาก ระเบียงการค้าไทย-อินเดีย
HSBC ชี้โอกาสทอง ระเบียงการค้าไทย-อินเดีย พลิกโฉมเศรษฐกิจด้วยศักยภาพตลาดใหม่ ชูบทบาท "Superconnector" ช่วยสร้างโอกาส ผลักดันธุรกิจทั้ง 2 ประเทศ
วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 – ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) โดยผู้บริหารระดับสูง มร. ฮิเทนดรา ดาเว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศอินเดีย และ มร. จอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ได้ร่วมกันเปิดเผยถึง "โอกาสการลงทุนในระเบียงการค้าไทย-อินเดีย" ชูศักยภาพของตลาดอินเดียที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมเน้นย้ำบทบาทของ HSBC ในฐานะ "Superconnector" ที่พร้อมเชื่อมโยงนักลงทุนจากทั้งสองประเทศ
อินเดียคือตลาดเกิดใหม่ ที่มีพลวัตและโอกาสมหาศาล
มร. ฮิเทนดรา ดาเว กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจของอินเดียว่า ปัจจุบันอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลก ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และมีอายุเฉลี่ยเพียง 28 ปี ซึ่งหมายถึงกำลังซื้อใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ตลาดจำนวนมหาศาล นี่คือเหตุผลที่บริษัทชั้นนำ Fortune 500 ต่างให้ความสนใจลงทุนในอินเดีย
รัฐบาลอินเดียยังคงเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน อาทิ นโยบาย Production Link ที่ให้เงินสนับสนุนธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์อย่างรวดเร็ว เช่น การสร้างทางด่วนในทุกวัน และจำนวนสนามบินที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและส่งเสริมการทำธุรกิจให้ง่ายยิ่งขึ้น
HSBC คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดียในปีนี้จะอยู่ที่ 6.5% นอกจากนี้ ธนาคารกลางอินเดียยังได้ลดอัตราดอกเบี้ยไปกว่า 100 Basis Points ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น
ผสานจุดแข็งเสริมศักยภาพ ระเบียงเศรษฐกิจไทย-อินเดีย
มร. ดาเว มองว่า ประเทศไทยเป็น "ขุมพลังในการผลิต" ของภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ภาคอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องยนต์, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในอินเดีย เนื่องจากประชากรจำนวนมากมีความต้องการบริโภคสูง
การลงทุนในอินเดียยังมีความสะดวกและมีโอกาสทำกำไรสูง ไม่ว่าจะเป็นในรูปของเงินปันผล ค่าตอบแทน หรือส่วนของผู้ถือหุ้น มร. ดาเว ยกตัวอย่างว่าแม้แต่ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานแต่งงานในอินเดียก็ยังเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจในประเทศนี้
สำหรับความท้าทายของการลงทุนในอินเดีย มร. ดาเว ยอมรับว่าแม้รัฐบาลอินเดียจะออกมาตรการที่ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น แต่ภาคการผลิตยังคงต้องการความร่วมมือจากภาคธุรกิจไทยในการฝึกอบรมแรงงานให้มีทักษะเทียบเท่าแรงงานไทย
HSBC ชูบทบาทช่วยอำนวยความสะดวก ในฐานะ "Superconnector"
มร.จอร์โจ กัมบา เน้นย้ำบทบาทของHSBC ในฐานะ "Superconnector" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำธุรกิจในระเบียงเศรษฐกิจไทย-อินเดียเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจไทยที่ต้องการลงทุนในอินเดีย หรือธุรกิจอินเดียที่สนใจตลาดไทย
"ด้วยการดำเนินธุรกิจมายาวนานในทั้งสองประเทศ ทำให้เรามีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้ง รวมถึงประสบการณ์ในการดูแลลูกค้าให้ขยายธุรกิจในระเบียงเศรษฐกิจนี้ เราเชื่อว่าลูกค้าต้องการพันธมิตรที่ช่วยดูแลการขยายธุรกิจได้ในระยะยาว และเรามีความเข้าใจในความซับซ้อนของโอกาสทางธุรกิจในทั้งสองประเทศ พร้อมบริการที่ครอบคลุมเพื่อสนับสนุนลูกค้าของเรา"
HSBCประเทศไทย สามารถเชื่อมโยงลูกค้ากับHSBCอินเดีย โดยตรง เพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความชำนาญ และยังช่วยเชื่อมต่อลูกค้ากับพันธมิตรทางธุรกิจในอินเดียหากต้องการหาพาร์ทเนอร์ในการเข้าสู่ตลาด นอกจากนี้ การบริการแบบ "One Stop Service" ยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็ง โดยลูกค้าสามารถพูดคุยกับทีมงานในประเทศไทยเพื่อเปิดบัญชีและทำธุรกรรมในประเทศต่างๆ ได้ในจุดเดียว ซึ่งลดความจำเป็นที่ลูกค้าจะต้องเดินทางไปดำเนินการเอง
นอกจากนี้แนวคิด Customer Centric หรือการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่ง HSBCทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างลูกค้า ธนาคาร และหน่วยงานภาครัฐผู้กำหนดนโยบาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ และ HSBCประเทศไทย ก็ได้นำแนวคิดนี้มาปรับใช้กับลูกค้าในกลุ่มประกัน เภสัชกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน
มร. ดาเว กล่าวต่อว่า HSBCมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 160 ปีในการรับมือกับความผันผวน และยังคงยืนหยัดเคียงข้างให้คำแนะนำแก่ลูกค้าเสมอ
"โอกาสทางเศรษฐกิจของอินเดียคือการเป็น 'Untapped Market' หรือตลาดที่ยังไม่ค่อยมีผู้เล่นเข้าไปมากนัก มันยากที่จะหาประเทศที่มีประชากรกว่า 1,000 ล้านคนที่จะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณในอีก 20 ปีข้างหน้าได้อีกแล้ว" มร. ดาเว กล่าว พร้อมแนะนำว่าบริษัทไทยควรพิจารณาอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายสำหรับการขยายการลงทุน เพราะตลาดขนาดนี้อาจใหญ่เท่ากับบางทวีปเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงตลาดนี้จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและไว้วางใจได้ ซึ่ง HSBCสามารถช่วยเชื่อมโยงได้
เปิดมุมมองไทยในสายตานักลงทุนอินเดีย ท่องเที่ยวและการผลิตโดดเด่น
มร. ดาเว ชี้ให้เห็นถึงความน่าสนใจของตลาดไทยในสายตานักลงทุนอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคการท่องเที่ยว และ ธุรกิจการแต่งงาน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากภาคไอทีของอินเดีย หากประเทศไทยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและชาวอินเดียที่ต้องการจัดงานแต่งงานได้ จะนำเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ประเทศ
นอกจากนี้ ภาคการผลิต (Manufacturing) ของไทยยังมีความพร้อมทั้งในด้านแรงงานและแหล่งพลังงานทางเลือก ซึ่งดึงดูดนักลงทุนอินเดียได้เป็นอย่างดี อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ Clean Energy ซึ่งอินเดียเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดและสามารถขยายมายังไทยในรูปแบบ B2B ได้ และการลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์ของอินเดีย ก็ยังเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงและไม่เคยต่ำกว่าสองหลัก
มร. กัมบา เสริมว่า บริษัทอินเดียเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่ดีของประเทศที่สนับสนุนภาคการผลิต เช่น ท่าเรือ สนามบิน และถนน นอกจากนี้ ภาคการเงินและนวัตกรรมยังเป็นโอกาสที่อินเดียจะเข้ามาลงทุนในไทยอีกด้วย HSBC จึงเห็นการไหลเข้าของนวัตกรรม ฟินเทค และบริการทางการเงินจำนวนมากสู่ประเทศไทยและอาเซียน
“การจับมือกันของไทยและอินเดียในระเบียงการค้านี้ จึงถือเป็นโอกาสทองที่สำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีHSBCเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนสามารถคว้าโอกาสนี้ได้อย่างเต็มที่”