"กัมพูชา" ปฏิเสธคำอ้าง "แพทองธาร" ยันปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตกัมพูชา ชี้ไทยอิงแผนที่ฝ่ายเดียวไร้น้ำหนัก
"กัมพูชา" ปฏิเสธคำอ้าง "แพทองธาร" ยันปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตกัมพูชา ชี้ไทยอิงแผนที่ฝ่ายเดียวไร้น้ำหนัก "สม รังสี" แฉเบื้องหลัง "ฮุน เซน" ถอดสัญชาติ สวนกลับคือพรแฝงภัย หวังข่มขู่แรงงานต่างแดน
วันที่ 5 ก.ค. 2568 กระทรวงฯ ขอปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อคำกล่าวอ้างของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของไทย ที่ระบุว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศไทย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505
กระทรวงวัฒนธรรมและศิลปกรรมแห่งกัมพูชา ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เมื่อคืนวันศุกร์ (ที่ 4 ก.ค.) ว่าการที่ไทยอ้างกรรมสิทธิ์เหนือกลุ่มปราสาทตาเมือนเพียงฝ่ายเดียว
โดยอาศัยแผนที่ที่ร่างขึ้นฝ่ายเดียวนั้น "ไม่มีน้ำหนักทางกฎหมาย" หรือความชอบธรรมใดๆ และยังขัดแย้งกับเนื้อหาในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ปี 2543 ระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเคารพและใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี ค.ศ. 1907 ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่
กระทรวงฯ ยังยืนยันด้วยว่า จากสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามในปี ค.ศ. 1904 และ 1907 รวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ดังกล่าวข้างต้น กลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในเขตอธิปไตยของราชอาณาจักรกัมพูชาโดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ กลุ่มปราสาทตาเมือนยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรมีชัย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของมรดกแห่งชาติกัมพูชาแล้ว
กระทรวงวัฒนธรรมและศิลปกรรมกัมพูชาเรียกร้องให้กระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยเคารพหลักการสากล เพื่อรักษาศักดิ์ศรีและความเป็นมืออาชีพที่ถูกคาดหวังจากสถาบันทางวัฒนธรรมในทุกๆ ประเทศ
“ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น เราขอแจ้งให้ผู้ชมทั้งในประเทศและต่างประเทศทราบด้วยความเคารพ”
ท่าทีของฝ่ายกัมพูชามีขึ้นหลังจากที่ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมเมื่อวานนี้ ( 4 ก.ค.) และมีการอ้างถึงมติ ครม.สมัยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่เห็นชอบให้ส่งมอบโบราณวัตถุ 20 รายการแก่กัมพูชาตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ หลังจากกรมศิลปากรและคณะผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าวัตถุโบราณมีต้นกำเนิดในกัมพูชา และปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ในการจัดส่งคืน ซึ่งได้รับรายงานว่า งบประมาณในปีปัจจุบันไม่เพียงพอในการขนส่ง และไม่เป็นเรื่องเร่งด่วนในการของบกลาง จึงอาจจะทบทวนเรื่องนี้ ต้องส่งเรื่องเพื่อขอตั้งงบประมาณของกระทรวงและรายงานต่อครม.เพื่อทราบ ในการหาหน่วยงาน หรือที่มาของงบประมาณที่จะจัดสรรงบประมาณต่อไปในการส่งคืน
ที่สำคัญเนื่องด้วยสถานการณ์ไทยกัมพูชา ทางกระทรวงวัฒนธรรม จึงมีความเห็นในการทบทวนเรื่องดังกล่าวตามความเหมาะสมต่อไป บทสรุปคือ ทบทวนก่อนแล้วค่อยว่ากันเรื่องตั้งงบ ที่เหลืออยู่ยังไม่ส่งคืนก่อน
น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวด้วยว่า ประเด็นเรื่องโบราณสถานในกลุ่มปราสาทตาเมือน กระทรวงวัฒนธรรมขอยืนยันว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนเป็นโบราณสถานที่อยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย และมีการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวจาก "สม รังสี" (Sam Rainsy) อดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา ที่ลี้ภัยในฝรั่งเศส โพสต์เฟซบุ๊กถึง “แรงจูงใจที่แท้จริง” เบื้องหลังการที่สมเด็จฮุน เซน ออกกฎหมายถอดถอนสัญชาติกัมพูชาของประชาชนกัมพูชาเอง พร้อมฝากข้อความถึงแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศอื่น ๆ ว่าอย่าหวาดกลัวต่อความเคลื่อนไหวนี้
สม รังษี ระบุว่า เหตุการณ์นี้มีจุดเริ่มจากวันที่ 26 มิถุนายน เมื่อแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เยือนชายแดนไทย-กัมพูชา และกล่าวอย่างเปิดเผยว่า คาสิโนกัมพูชาเป็นศูนย์กลางอาชญากรรม จากนั้นวันที่ 27 มิถุนายน ฮุน เซน ตอบโต้ด้วยอารมณ์ ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงในโทรทัศน์แห่งชาติเพื่อโจมตีตระกูลทักษิณและกล่าวหาว่า ทักษิณไม่สามารถควบคุมลูกสาวได้
วันที่ 28 มิถุนายน สม รังษี ออกแถลงการณ์เปิดโปงขบวนการอาชญากรรมแบบมาเฟียในกัมพูชา สื่อไทยนำเสนอทันทีทั่วประเทศ ฮุน เซน สะเทือนและเงียบ ไม่สามารถตอบโต้ข้อเท็จจริงได้ กระทั่งวันที่ 29 มิถุนายน ฮุน เซน โต้กลับด้วยการเสนอแนวทางถอดถอนสัญชาติกัมพูชา
สม รังษี ย้ำว่า กฎหมายนี้ถูกออกมาเพื่อโจมตีตนโดยตรงและข่มขู่แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แต่ขอให้แรงงานกัมพูชาอย่ากลัว เพราะความเคลื่อนไหวนี้จะย้อนกลับไปทำลายตัวฮุน เซน เอง และถือเป็น “พรที่แฝงอยู่”
โดยยืนยันว่า กฎหมายระหว่างประเทศอยู่ข้างแรงงานกัมพูชา อนุสัญญาปี 1954 และ 1961 ได้ให้ความคุ้มครองบุคคลที่ถูกทำให้ไร้สัญชาติหรือถูกถอดสัญชาติอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมระบุว่า ความพยายามของฮุน เซน ที่จะใช้สัญชาติเป็นอาวุธทางการเมืองจะไม่สามารถต้านทานกฎหมายและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาคมโลกได้