ไวรัลข้ามโลก ’ไทยโอบายาชิ’ มาตรฐานก่อสร้างแบบญี่ปุ่น - เร่งขยายพอร์ตธุรกิจในไทย
"ไทยโอบายาชิ" (THAI OBAYASHI) บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ถูกพูดถึงอย่างมาก ด้วยภาพการก่อสร้างอาคารในไทยที่ยังคงแข็งแกร่ง ภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ ในประเทศเมียนมา ที่ส่งผลกระทบหนักต่อเนื่องกับประเทศไทย หลายอาคารได้รับผลกระทบ รวมถึงสำนักงานในไทยที่กำลังก่อสร้างหลายแห่ง
สำหรับ ไทย โอบายาชิ (Thai Obayashi) หรือชื่อไทยคือ บริษัท นันทวัน จำกัด เป็นบริษัทญี่ปุ่น ที่เข้ามาลงทุนในไทยกว่า 50 ปีแล้ว โดยมีผู้ถือหุ้นในไทย ทั้ง เครือธนาคารกรุงเทพ, เครือธนาคารไทยพาณิชย์, สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และ เมโทรกรุ๊ป
ไวรัลไปจนถึงประเทศญี่ปุ่น กับการก่อสร้างอาคาร
พรชัย สิทธิยากรณ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท นันทวัน จำกัด (ไทยโอบายาชิ) กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ และทำให้อาคารสำนักงานของบริษัท “ออนเนส” (O -NES) ที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้านานา กลายเป็นไวรัลอย่างมาก โดยเกิดกระแสการพูดถึงทั้งบริษัทที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น และบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในไทย ต่างให้ความสนใจอยากย้ายเข้ามาอยู่ในสำนักงานของบริษัทจำนวนมาก
สำหรับ“ออนเนส” (O -NES) เป็นอาคารที่ใช้การออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทมีอาชีพเป็นผู้ก่อสร้าง จึงอยากโชว์ระบบวิศวกรรมการก่อสร้างของประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นเทคโนโลยีใหม่คือ การใช้โครงสร้างเหล็กเป็นกระดูกอาคาร แตกต่างจากอาคารทั่วไป รวมถึงเป็นอาคารที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ในระดับ 7.5
ทั้งนี้ในปัจจุบัน อาคาร “ออนเนส” (O -NES) มียอดลูกค้าที่สนใจติดต่อขอย้ายมาเช่าพื้นที่แล้วประมาณ 60% จากก่อนเกิดเหตุการณ์อาคารมียอดการเช่าประมาณ 40% รวมถึงมีหลายบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากต้องเปรียบเทียบค่าเช่าและการคำนวณในด้านต่างๆ มาประกอบกัน
“ตอนก่อสร้างอาคาร O -NES บริษัทไม่ได้คิดในเรื่องแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้น แต่อยากโชว์ engineering การนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ของญี่ปุ่น ทั้งการออกแบบและก่อสร้าง แบบญี่ปุ่นใช้โครงสร้างเหล็กเป็นกระดูกอาคาร แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ ทั้งเกิดไวรัลมาก ทั้งในประเทศญี่ปุ่นเอง รวมถึงได้รับติดต่อจากบริษัทญี่ปุ่นในไทยจำนวนมาก อีกทั้งชาวญี่ปุ่นก็ตกใจกับเหตุแผ่นดินไหวในไทยเช่นกัน”
สำหรับ โครงการ “ออนเนส” (O -NES) เป็นสำนักงานที่มีความสูง 29 ชั้น เริ่มเปิดดำเนินงานในปี 2564
จากบริษัทรับเหมาก่อสร้าง สู่การขยายพอร์ตธุรกิจไปมิกซ์ยูส
พรชัย กล่าวต่อว่า ไทยโอบายาชิ อยู่ระหว่างการปรับธุรกิจไปให้หลากหลายมากขึ้น โดยไม่จำกัดเฉพาะการรับเหมาก่อสร้างเท่านั้น เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีมากนัก ประกอบกับ บริษัทแม่ญี่ปุ่น ได้เปิดโอกาสให้บริษัทสามารถขยายพอร์ตธุรกิจได้ จึงนำไปสู่การขยายลงทุนโครงการใหม่ “โปรเจกต์มิกซ์ยูส ราชดำริ" มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท บนถนนราชดำริ มีกำหนดเปิดดำเนินการในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2572 ถือเป็นโครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกของบริษัท
ทั้งนี้โครงการเป็นอาคารที่มีความสูง 40 ชั้น พื้นที่ประมาณ 120,000 ตร.ม. มีทั้งรีเทล สำนักงานและโรงแรม โดยในส่วนโรงแรม ได้ร่วมทุนกับเครือสหพัฒน์ ลงทุนโรงแรม Seibu Prince Hotels ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 2,500 ล้านบาท
สำหรับ การขยายสู่โครงการมิกซ์ยูส และมีการออกแบบโรงแรมไว้ด้านบน เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้าญี่ปุ่น และบริษัทพาร์ทเนอร์ นักธุรกิจจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเดินทางมาไทยจึงสามารถเข้ามาที่สำนักงานและเข้ามาพักได้ รวมถึงทำเลราชดำริค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะกับการเข้าพัก
นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการอื่นๆ ทั้งโครงการทางด้านสมาร์ทแฟตตอรี่ สมาร์ทแวร์เฮ้าส์จะมีโอกาสอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ถือว่า บริษัท ไทยโอบายาชิ เป็นบริษัทรายแรกที่ได้ขยายพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจ ต่อเนื่องจากบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่น
“ตอนนี้บริษัทมุ่งโฟกัสโครงการ โปรเจกต์มิกซ์ยูส ราชดำริ ที่อยู่ระหว่างการจัดทำดีไซน์อาคาร ฟังก์ชั่น ทางเข้าและทางออกต่างๆ”
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะสร้างยอดขายได้ที่ 16,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้านี้ และอยู่ในระดับทรงตัวมา 3-4 ปีแล้ว ยกเว้นในช่วงโควิด ปรับลดลงไปอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท