เครือสหพัฒน์ MOU 15 ฉบับ เสริมแกร่งธุรกิจ หนุนเศรษฐกิจไทย

งานสหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ครั้งที่ 29 ปิดฉากลงแล้ว มหกรรมการลดราคาสินค้าแห่งปีของเครือสหพัฒน์ อาณาจักร 3 แสนล้านบาท แต่ในงานไม่เพียงนำสินค้ากว่า 1,000 รายการ มาจำหน่ายในราคาย่อมเยา เพื่อบรรเทาค่าครองชีพให้กับผู้บริโภค

ทว่า หนึ่งในไฮไลต์คือ การเดินหน้าควงพันธมิตรทั้งใน และต่างประเทศมาลงนามบันทึกข้อตกลงหรือ MOU เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเสริมแกร่งธุรกิจ สร้างการเติบโตร่วมกัน ซึ่งปี 2568 เครือสหพัฒน์ได้เซ็นเอ็มโอยูทั้งสิ้น 15 ฉบับ ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ทั้งอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ การลงทุนระหว่างประเทศ พลังงานสะอาด การบิน ไปจนถึงค้าปลีก และการศึกษา

ทั้งนี้ เครือสหพัฒน์ย้ำถึงการลงนามครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการผนึกความร่วมมือเพื่อผลักดันธุรกิจเครือสหพัฒน์ให้เติบโต แต่ยังเปิดประตูให้ธุรกิจไทยได้ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้น

ต่อจิ๊กซอว์ อสังหาฯ และการท่องเที่ยว

เครือสหพัฒน์ได้สร้างสีสันให้วงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการประกาศความร่วมมือกับ ดุสิตธานี เพื่อพัฒนาโครงการดุสิต สวีท เจ-พาร์ค ศรีราชา ที่จะยกระดับอำเภอศรีราชาให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยคอนเซปต์ที่พักที่ผสานกลิ่นอายญี่ปุ่นกับมาตรฐานการบริการระดับสากลจากดุสิตธานี

ขณะเดียวกันยังร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์กับ ไทยโอบายาชิ บริษัทที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และมาตรฐานการก่อสร้างระดับโลก ในการพัฒนา โรงแรมอัลตร้าลักซ์ชูรี ย่านราชดำริ โดยมี Seibu Prince Hotels Worldwide จากญี่ปุ่นที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปี มาเป็นผู้บริหารจัดการโรงแรม ความร่วมมือนี้นับเป็นการสร้างแลนด์มาร์กใหม่ให้กับประเทศไทยโดยผสานวัฒนธรรมไทย-ญี่ปุ่นเข้าไว้ด้วยกัน

ที่สำคัญโปรเจกต์มิกซ์ยูสราชดำริของไทยโอบายาชิ มีมูลค่าถึง 8,000 ล้าน ขณะที่โปรเจกต์โรงแรมหรู Seibu Prince ซึ่งร่วมทุนสหพัฒน์ มูลค่าราว 2,500 ล้านบาท ที่จะเนรมิตแลนด์มาร์กแห่งใหม่ และหมุดหมายสำหรับการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวด้วย

พัฒนาอุตสาหกรรมการบิน และพลังงานสะอาด

ด้านอุตสาหกรรมการบิน ได้ร่วมกับ บางกอกแอร์ เอวิเอชั่น เทรนนิ่ง เซนเตอร์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินให้เทียบเท่าสากล โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ Private Airfields และสิ่งอำนวยความสะดวกในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ความร่วมมือนี้ครอบคลุมตั้งแต่การเพิ่มจำนวนนักเรียนการบิน การจัดการเรียนการสอน ไปจนถึงการพัฒนาหลักสูตร

ในมิติของพลังงานสะอาด ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี ได้เข้ามาร่วม พัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งจะเริ่มให้บริการที่ เอจีซี ไมโคร กลาส (ประเทศไทย) ในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์-ลำพูน ถือเป็นก้าวแรกสู่การสร้างสวนอุตสาหกรรมสีเขียวในอนาคต

ส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศ เช่น ไทย-จีน เกาหลี ญี่ปุ่น บิ๊กเทคโลก

ความร่วมมือข้ามพรมแดนเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของการลงนามในปีนี้ โดยบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินงานด้านการลงทุนและการพัฒนาในเครือสหพัฒน์ ได้ลงนามความร่วมมือกับ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ) จำกัด มหาชน เพื่อส่งเสริมการลงทุนระหว่างไทย-จีน และสนับสนุนการดำเนินธุรกรรมทางการเงินข้ามพรมแดนอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับ DHL เพื่อต่อยอดธุรกิจอีคอมเมิร์ซและเสริมสร้างขีดความสามารถของห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มสหกรุ๊ป โดยขยายธุรกิจทั้งใน และต่างประเทศ และยังมีความร่วมมือที่น่าสนใจในด้านการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในภูมิภาคเอเชีย ระหว่าง BIGXSHOW, Media Intelligence, Hakuhodo Thailand, LALA Station (JAPAN) และ HUUM กับเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจ Influencer Marketing และพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ให้ก้าวสู่ระดับภูมิภาคเอเชีย

หนึ่งในความร่วมมือที่โดดเด่นในครั้งนี้ คือ การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส ผู้นำเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งระดับโลก ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติระบบดิจิทัลในเครือสหพัฒน์ หลังจากนี้จะได้เห็นการนำ AI, Machine Learning และ Data Analytics เข้ามาขับเคลื่อนทุกหน่วยธุรกิจ ซึ่งไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการปูทางสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

ดันสินค้าไทยสู่สากล

เครือสหพัฒน์แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการสร้างระบบนิเวศทางการค้าที่ครอบคลุม โดยร่วมมือกับ สถาบันวิจัย และพัฒนาอัญมณี และเครื่องประดับแห่งชาติ ในโครงการ Buy With Confidence เพื่อยกระดับมาตรฐาน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับของไทยในตลาดโลก

ขณะเดียวกันก็ได้ขยายความร่วมมือไปยังสมาคมการค้าไทยมุสลิม เพื่อขับเคลื่อนตลาด และช่องทางการจำหน่ายสินค้าฮาลาลไทยสู่เวทีสากล และร่วมมือกับ Etoile Kaito จากญี่ปุ่น เพื่อเปิดร้าน Kamakura neco salon แห่งแรกในไทย ถ่ายทอดเสน่ห์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านสินค้าไลฟ์สไตล์ในธีมแมว และยังมีการลงนามกับ โฟกัส มีเดีย (ประเทศไทย) ที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ตลอดจนขยายโอกาสทางธุรกิจในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศมากขึ้น

ยกระดับบุคลากรรับยุคดิจิทัล

ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อผลิตบุคลากรสายวิชาการ และสายสนับสนุนวิชาการ ที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และส่งเสริมการพัฒนานักศึกษา รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในการบริการทางวิชาการแก่สังคม ชุมชน ทั้งภาครัฐ และเอกชน และจับมือกับ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เพื่อ พัฒนาศักยภาพครูให้มีความรู้ในการใช้ AI พร้อมเสริมสร้างคุณธรรมความซื่อสัตย์ เป็นการยกระดับการศึกษาไทยให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล

ปั้น Private Brand เสริมแกร่งค้าปลีก ดอง ดอง ดองกิ

ในมิติด้านสุขภาพ ดองกิ (ประเทศไทย) หนึ่งในเครือสหพัฒน์ ได้ร่วมกับ เขตสุขภาพที่ 5 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกัน ส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพจากชุมชนท้องถิ่น และยกระดับมาตรฐานให้เทียบเท่าสากล

นอกจากยกระดับสินค้าสุขภาพแล้ว ยังมุ่งส่งเสริมการผลิตที่มีมาตรฐานสากล รวมถึงการขยายช่องทางการตลาดทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะการสร้างเส้นทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับสินค้าที่ผลิตขึ้นในเขตสุขภาพที่ 5

ที่สำคัญยังต่อยอดสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์บริษัท (สินค้า Private Brand หรือ PB) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมค้าปลีก และส่งเสริมการขยายตลาดสินค้า PB ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศไทย สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และตอกย้ำการมีส่วนร่วมต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และพันธกิจของทั้งสองฝ่าย

การ MOU ดังกล่าว เมื่อปั้น PB ได้ จะทำให้ ร้านดอง ดอง ดองกิ มีสินค้าจำหน่ายใน “ราคาที่ต่ำลง” เอื้อให้คนไทยช้อปสินค้าราคาย่อมเยาขึ้นนั่นเอง

พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์