เหนื่อยทุกทาง !?
มติศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียงให้รับคำร้องกรณี 36 สว. ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สถานะความเป็นรัฐมนตรี ของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวหรือไม่ จากกรณี คลิปเสียง สนทนากับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่าด้วยเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีมติ 7 ต่อ 2 สั่งให้ หยุดปฏิบัติหน้าที่
นายกฯ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ออกมา และยังนับเป็นจังหวะที่ดี เมื่อคำสั่ง โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งครม.ใหม่ แพทองธาร1/2 ประกาศออกมาในช่วงเช้า โดยนายกฯแพทองธาร นั่งควบเก้าอี้ รมว.วัฒนธรรม อีกหนึ่งตำแหน่ง หมายความว่า จากนี้ไป แพทองธาร จะต้องไปนั่งปฏิบัติหน้าที่ รมว.วัฒนธรรม ที่กระทรวงวัฒนธรรม และไม่เข้าทำเนียบฯ จนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัย
ในความเป็นจริงแล้ว พรรคเพื่อไทย และโดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้เป็นพ่อ ย่อมประเมินได้ถึงสถานการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 ก.ค.68 ว่า แนวทางจะออกมาเช่นใด ไม่เช่นนั้นคงไม่จัดครม.ใหม่ด้วยการให้แพทองธาร นั่งควบรมว.วัฒนธรรม โดยใช้โมเดลสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เคยสั่งให้หยุดทำหน้าที่ นายกฯ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ยังเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้ในฐานะ รมว.กลาโหม
สถานการณ์สำหรับรัฐบาลใหม่ ที่แม้จะมีการ ปรับใหม่ เพื่อหวัง เก้าอี้รมว.วัฒนธรรม ให้นายกฯอิ๊งค์ อยู่ในอำนาจฝ่ายบริหารเพื่อรอลุ้น ว่าจะได้มีโอกาสกลับมานั่งทำงานต่อในตำแหน่งเดิมคือ สร. 1 ยังอาจมี ปัญหาใหญ่ ที่รออยู่ เพราะไม่ว่าคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ จะออกมาหน้าไหน ไม่ว่าจะเป็น คุณให้นายกฯ ได้ ไปต่อ ก็ยังมี ม็อบรวมพลังแผ่นดิน รอเคลื่อนไหวขับไล่อยู่บนท้องถนน เมื่อเป้าหมายของม็อบ คือการรอ ยกระดับ เพื่อไล่นายกฯให้ลาออก เท่านั้น
และหากคำวินิจฉัย ออกมาในทางที่เป็น ลบ ต่อนายกฯแพทองธาร จะกลายเป็นภาวะที่พร้อมจะเข้าสู่ ความวุ่นวาย ทางการเมืองตามมาระลอกใหม่ทันที เพราะแม้ทักษิณ จะต้องการรักษาเก้าอี้นายกฯ เอาไว้ให้ คนของเพื่อไทย แต่อย่าลืมว่า ศัตรู ก็หมายตา เก้าอี้นายกฯคนใหม่เช่นกัน