ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดโรงงานผลิต “ยารักษามะเร็ง” แห่งแรกของไทยสำเร็จ!
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศความสำเร็จในการเปิดดำเนินงาน โรงงานผลิตเภสัชภัณฑ์ในพระดำริ ณ พระตำหนักพิมานมาศ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นับเป็นโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสูงสุดด้านการผลิตยาจาก GMDP PIC/s ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
โรงงานแห่งนี้เกิดขึ้นจากพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรอันยาวไกลของ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานและนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่ทรงเล็งเห็นความยากลำบากของผู้ป่วยโรคมะเร็งซึ่งขาดโอกาสเข้าถึงยารักษาที่มีประสิทธิภาพสูง จึงมีพระดำริให้จัดตั้งโรงงานผลิตยาขึ้นเพื่อเชื่อมโยงงานวิจัยกับภาคอุตสาหกรรมยา และสร้างความมั่นคงทางยาของประเทศ
โรงงานผลิตเภสัชภัณฑ์แห่งนี้เป็นอาคาร 4 ชั้น ครบวงจรทั้งด้านการผลิต วิศวกรรม ห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพ และศูนย์จัดการข้อมูล ใช้ระบบการผลิตแบบปิด (Containment Production Process) ด้วยเครื่องจักรที่ได้มาตรฐาน OEB5 เพื่อความปลอดภัยของบุคลากร สิ่งแวดล้อม และคุณภาพยาที่ผลิต
หนึ่งในผลิตภัณฑ์สำคัญคือ ยาอิมครานิบ 100 (IMCRANIB 100) เป็นยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า ใช้รักษามะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งทางเดินอาหาร และมะเร็งผิวหนังหายาก โดยได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว และเตรียมผลิตเพื่อเข้าสู่ระบบสาธารณสุขภายในสิ้นปี 68 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายจากการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาของผู้ป่วย
ภก.วัชระ กาญจนกวินกุล ผู้อำนวยการโรงงานผลิตเภสัชภัณฑ์ในพระดำริฯ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เปิดเผยว่า ยาดังกล่าวถูกผลิตขึ้นในโรงงานผลิตยารักษามะเร็งแห่งแรกของประเทศไทย ที่ดำเนินงานภายใต้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยมีกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 30,000 เม็ดต่อ 5 วัน หรือกว่า 1 ล้านเม็ดต่อปี และสามารถขยายกำลังการผลิตได้สูงสุดถึง 5-8 ล้านเม็ดต่อปีในอนาคต
ยาอินครานิบ 100 เป็นยาเม็ดรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) ที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็ง ทำให้มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้เคมีบำบัด หรือรังสีรักษา โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติในร่างกาย
ก่อนหน้านี้ประเทศไทยต้องนำเข้ายามุ่งเป้าทั้งหมด โดยมีราคานำเข้าอยู่ที่เม็ดละ 400-500 บาท หรือรวมมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี การผลิตในประเทศจะช่วยลดต้นทุนลงอย่างมาก โดยประเมินว่าสามารถลดราคายาได้กว่า 40 เท่า เหลือเพียงหลักสิบบาทต่อเม็ด ซึ่งครอบคลุมสิทธิการรักษาทุกประเภท ทั้งบัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการ
ภก.วัชระ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ยานี้ไม่ใช่ยาใหม่ในระดับโลก (มีการใช้ในยุโรปมากว่า 20 ปี) แต่ประเทศไทยไม่เคยผลิตได้มาก่อน ความสำเร็จครั้งนี้จึงถือเป็นการยกระดับองค์ความรู้ด้านเภสัชอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการแพทย์ของประเทศ