คลังผนึก EXIMออก 8 มาตรการรับมือภาษีทรัมป์
เพื่อไทย โว "ดีลภาษีสหรัฐฯ" คือผลลัพธ์ของการวางแผนรัดกุม ปัดแลกผลประโยชน์ชาติ EXIM Bank ออก 8 มาตรการรับมือภาษีทรัมป์ ดันส่งออกไทย รุกตลาดใหม่ ลดเสี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.)เมื่อวันที่ 3 ส.ค.68 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการปิดดีลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ว่าพรรคเพื่อไทยขอชื่นชมการทำงานของทีมไทยแลนด์ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร ที่สามารถบรรลุข้อตกลงภาษีเบื้องต้นสูงสุด 19% กับสหรัฐฯ ได้เรียบร้อย ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น และยังรักษาความสามารถการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก
ข้อตกลงดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะทีมเจรจาที่นำโดยท่านพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และทีมงานหลังบ้าน เช่น ทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ทีมจากภาคเอกชนที่ร่วมกัน
ทำงานให้สามารถรักษาระดับภาษีที่แข่งขันได้ในเวทีโลก ขณะเดียวกันยังไม่ละเลยต่อการวางโครงสร้างรองรับผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เรื่องนี้ขอให้ติดตามมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบต่อไป ขัตติยา กล่าว
น.ส.ขัตติยา กล่าวย้ำด้วยว่า ในการเจรจาภาษีในครั้งนี้ ผลลัพธ์ไม่ได้มีเพียงอัตราภาษีที่ลดลงกว่าที่คาด แต่ภายใต้การเจรจาครั้งนี้ในระยะยาว จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้มถูกลง อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนจะเติบโต และสินค้านำเข้าบางรายการจะถูกลง และเป็นเงื่อนไขให้ไทยปรับประสิทธิภาพการผลิต
การดำเนินงานทั้งหมดอยู่ภายใต้หลักคิดที่ชัดเจนว่า จะไม่มีการแลกผลประโยชน์ของประเทศ หรือเปิดตลาดแบบไร้ทิศทาง แต่ทุกข้อเสนอของไทย เช่น การเปิดนำเข้าสินค้าที่ไทยไม่ผลิตเอง เช่น เชอร์รี หรือก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการเสนอปรับโครงสร้างการนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ ล้วนเป็นการคำนวณบนฐานของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ และมีการวางมาตรการคุ้มครองภาคเกษตรและอุตสาหกรรมไทยควบคู่กัน ขัตติยา กล่าว พร้อมย้ำว่า รัฐบาลพร้อมเปิดเผยข้อมูล และรายงานผลการเจรจาทุกขั้นตอนต่อสาธารณะเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก มาตรการภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งครอบคลุมการเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และช่วยกระจายความเสี่ยง โดย EXIM Bank เตรียมวงเงินช่วยเหลือผู้ส่งออก ให้ความช่วยเหลือสำหรับ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 บรรเทาผลกระทบจากตลาดเดิม ดังนี้ 1. เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนทางการเงิน โดยขยายเทอมการชำระเงินสูงสุด 365 วัน: ยืดเวลาการชำระหนี้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ส่งออก ลดอัตราดอกเบี้ยลงสูงสุด 20% จากอัตราเดิม: สำหรับสินเชื่อที่ได้รับการขยายเทอมการชำระเงิน และสินเชื่อที่มีการเบิกใช้ใหม่ สินเชื่อหมุนเวียนทั้งก่อนและหลังการส่งออก: สินเชื่อหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทั้งก่อนและหลังการส่งออก มาตรการพักชำระเงินต้น สูงสุด 1 ปี (Pre-emptive) สำหรับผู้ที่มีสินเชื่อระยะยาว และเริ่มมีการค้างชำระหนี้ 2. ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน คือ สินเชื่อระยะยาวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (Transformation Loan): เป็นวงเงินระยะยาวสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร ระบบอัตโนมัติ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.75% (ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี)
ส่วนที่ 2 สนับสนุนการหาตลาดใหม่ ทดแทนตลาดเดิม ดังนี้ 1. เปิดตลาดใหม่ ช่วยกระจายความเสี่ยง คือ สินเชื่อหมุนเวียนหลังการส่งออกพร้อมประกันการส่งออก (EXIM Safe Trade): นอกจากการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแล้ว ผู้ส่งออกจะได้รับการชดเชยจากธนาคารหากไม่ได้รับชำระค่าสินค้าจากคู่ค้า อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี สินเชื่อเพื่อการร่วมงานแสดงสินค้า (EXIM-DITP Empower Financing): โดยเป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเพื่อหาตลาดใหม่
2. คงการจ้างงานด้วยเงินหมุนเวียน Soft Loan คือ สินเชื่อระยะยาวร่วมกับสำนักงานประกันสังคม: เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการให้แก่ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.00% ต่อปีคงที่ 3 ปี