‘เก๋ากี้-โกจิเบอร์รี่’ กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์
หนึ่งในผลไม้เม็ดจิ๋วที่มักถูกนำไปใช้ปรุงรสในอาหารจีนหลากหลายเมนู นั่นคือ “เก๋ากี้” ผลไม้สีแดงอมส้มและมีรูปร่างทรงรี แถมยังมีสรรพคุณมากมายช่วยบำรุงร่างกาย
กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) บอกเล่าสาระน่ารู้เกี่ยวกับ “เก๋ากี้” ที่มีอีกชื่อเรียกว่า “โกจิเบอร์รี่ (Goji berry)” หรือ Wolfberry หรือ Lycium fruit เป็นผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ ผลสีแดงอมส้ม มีขนาดเล็ก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ได้รับขนานนามว่าเป็น “ซูเปอร์ฟรุต” เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
คุณค่าทางโภชนาการใน “เก๋ากี้-โกจิเบอร์รี่”
@ เส้นใยอาหาร 20 เปอร์เซ็นต์
@ กรดอะมิโน 19 ชนิด
@ ไขมัน
@ แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ เช่น สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม
@ วิตามินบี 1, บี 2 และวิตามินซี
@ สารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ช่วยทำให้อาหารอยู่ในทางเดินอาหารนานขึ้น เกิดการย่อยอาหารช้าลง ช่วยลดการดูดซึมสารอาหาร น้ำตาล และไขมัน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดอุดตันรวมถึงโรคทางหลอดเลือดและหัวใจได้
@ สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ที่ทำให้เก๋ากี้มีสีส้มแดง ซึ่งสารหลักที่พบสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ ได้แก่ ซีแซนทีน (Zeaxanthin), ลูทีน (Lutein) และเบต้าแคโรทีน (Carotene) หรือสารตั้งต้นของวิตามิน A เป็นองค์ประกอบของจอประสาทตา และร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง ทำหน้าที่กรองแสงสีฟ้าและลดการสะท้อนของแสง ช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา มีคุณสมบัติป้องกันโรคหลายชนิด เช่น โรคต้อกระจก โรคจอรับภาพเสื่อม จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชันในดวงตาอีกด้วย
@ สารกลุ่มฟีนอลลิก (Phenolic) เช่น Caffeic acid, Chlorogenic acid , Caffeoylquinic acid และ Ccoumaric acid และสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ได้แก่ Myricetin, Quercetin และ Kaempferol ช่วยเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระหรือสารต้านออกซิเดชันอื่นๆที่มีอยู่แล้วในร่างกายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
“เก๋ากี้หรือโกจิเบอร์รี่” จึงมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและการศึกษาทางคลินิก โดยช่วยบำรุงสายตา ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดในเลือด ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ฤทธิ์ชะลอวัย ปกป้องเซลล์ประสาท เพิ่มภูมิต้านทาน นอกจากนี้ผลการศึกษายังพบว่าเก๋ากี้ช่วยลดความอ่อนล้าและความเครียดได้ดี
อย่างไรก็ตาม ยังคงพบรายงานผลข้างเคียงเล็กน้อยจากการรับประทานเก๋ากี้หรือโกจิเบอร์รี่ อาทิ
-ปวดท้อง
-อาเจียน
-ปวดหัวในผู้ใช้บางราย
-อาการพิษจากการที่เก๋ากี้มีสาร Tropane alkaloids เป็นองค์ประกอบ เช่น Atropine และ Scopolamine ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการตาพร่ามัว ท้องผูก ปากแห้ง รูม่านตาขยาย ง่วงซึม วิงเวียนศีรษะ และรู้สึกกระวนกระวายได้ รวมถึงรายงานการเกิดตับอักเสบ และปฏิกิริยาผิวไวต่อแสงในผู้ที่รับประทานเก๋ากี้บางรายด้วย
ข้อควรระวังของการรับประทาน “เก๋ากี้-โกจิเบอร์รี่”
เนื่องจาก เก๋ากี้หรือโกจิเบอร์รี่ที่บรรจุอยู่ในแต่ละผลิตภัณฑ์ มีการระบุขนาดและรูปแบบการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพการรักษา ดังนั้น การรับประทานเก๋ากี้หรือโกจิเบอร์รี่จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนดังต่อไปนี้
-ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
-ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำหรือสูง
-ผู้ใช้ยาบางอย่างเป็นประจำ อาทิ วาร์ฟาริน หรือยาที่ส่งผลต่อความดันโลหิตและการแข็งตัวของเลือด
-สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน เพื่อความปลอดภัยจากการได้รับปริมาณสารออกฤทธิ์ที่เหมาะสม และประโยชน์อย่างเต็มที่จากการรับประทาน
ทั้งนี้ การเลือกบริโภคอาหารที่หลากหลายควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพได้โดยไม่ต้องเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพรใด ๆ เพิ่มเติม.