"ม.เกริก" ดึงผู้เชี่ยวชาญร่วมสัมมนาวิชาการนานาชาติ “The Power of AI: Inspire, Integrate, Impact”
มหาวิทยาลัยเกริก โดยวิทยาลัยนานาชาติการบินและอวกาศ ร่วมกับสำนักอธิการบดี จัดงานสัมมนาวิชาการนานาชาติ “The Power of AI: Inspire, Integrate, Impact” (พลังของ AI: จุดประกาย บูรณาการ เปลี่ยนแปลง) สะท้อนบทบาทสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ในการขับเคลื่อนสังคมยุคใหม่ ณ ศูนย์ประชุมวิชาการนานาชาติ มหาวิทยาลัยเกริก เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานจากทั้งภาครัฐ เอกชน จำนวนกว่า 300 คน
การสัมมนาวิชาการนานาชาติ "The Power of AI: Inspire, Integrate, Impact" ครั้งนี้ มีทั้งการบรรยายจากวิทยากรชั้นนำจากสถาบันและบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกยังได้รับเกียรติจากวิทยากรชั้นนำนานาชาติระดับโลก อาทิ จาก Chinese Academy of Science และ Tokyo University โดยเฉพาะMr. Chengqing Zon ประธานสถาบันระบบอัตโนมัติแห่งสภาวิทยาศาสตร์ จีน และการเชื่อมโยงกับองค์กรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกด้านภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์อย่าง สมาคมภาษาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ หรือ ACL (Association for Computational Linguistics) อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญของไทย จากราชบัณฑิตยสภา, ASEAN Center for Multilingual Translation อีกทั้งยังได้รับเกียรติจากวิทยากรทุกท่านที่ล้วนทรงคุณวุฒิ พร้อมประสบการณ์ อาทิ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด และ ผู้แทนจาก Google ในการให้ความรู้แก่ผู้ร่วมการสัมมนาในช่วงต่างๆ อีกทั้งยังมีช่วงพิเศษ: รายงานผ่านการถ่ายทอดสดจากเวทีประชุมด้านภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (ACL 2025) ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ให้ผู้ร่วมสัมมนาในงานได้รับชมพร้อมกัน
ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ กระแส ชนะวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกริก กล่าวว่า การสัมมนาวิชาการนานาชาติในหัวข้อ "The Power of AI:Inspire, Integrate, Impact" ครั้งนี้ ถือเป็นอีกแนวทางของมหาวิทยาลัยเกริกในการให้ความร่วมมือในนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และนับเป็นโอกาสที่ดีมากเพราะเป็นงานที่มีทั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์จากทั่วโลกได้มารวมตัวกัน ณ ที่นี้ นับเป็นนิมิตหมายในความร่วมมือที่ดีเพื่อการขับเคลื่อนอนาคตด้วยเทคโนโลยี AI และในฐานะมหาวิทยาลัยเกริก เป็นสถาบันการศึกษาที่มีปณิธานในการสร้างบัณฑิตเพื่อรับใช้สังคมและเป็นพลังในการพัฒนาประเทศ เราตระหนักดีว่าปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เป็นเพียงกระแสทางเทคโนโลยีที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะส่งผลกระทบต่อทุกมิติของชีวิต เราจึงไม่ได้มอง AI ในฐานะเครื่องมือเท่านั้น แต่มองว่าเป็น "ศาสตร์" และ "ศิลป์" ที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมวลมนุษยชาติ ยิ่งไปกว่านั้น พลังของ AI ยังท้าทายและนิยามความหมายของ “ภาวะผู้นำ” ในยุคใหม่ ผู้นำในวันนี้ไม่ได้ วัดกันที่ความสามารถในการสั่งการเพียงอย่างเดียว แต่ยังวัดกันที่วิสัยทัศน์ในการใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจอย่างเฉียบคม และสำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการนำทางองค์กรและสังคมให้สามารถปรับตัวและเติบโตควบคู่ไปกับเทคโนโลยีได้อย่างมีคุณธรรม
เชื่อว่าทุกวันนี้คนไทยเรารู้จัก AI มากขึ้น และในฐานะสถาบันการศึกษา เรายิ่งต้องทำให้นักศึกษาได้เห็นถึงความสำคัญของ AI โดยให้ความสำคัญและสนับสนุนให้ภาคส่วนต่างๆได้ใช้ความสำคัญของ AI ให้เป็นประโยชน์ทั้งในการส่งเสริมการเรียนการสอนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การจัดประชุมสัมมนาเรื่อง AI ในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเราเชื่อว่า AI จะมีความเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของคนในทุกกลุ่มทุกระดับจึงควรสนับสนุนและส่งเสริมให้ความรู้ในเรื่อง AI มีการกระจายตัวเข้าถึงกลุ่มคนในทุกระดับอาชีพได้อย่างแท้จริง
ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ในส่วนนโยบายชองกระทรวงดิจิทัลฯ ที่จะสนับสนุนสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเกริก หรือ สถาบันอื่นๆ เพื่อให้สามารถบูรณาการ AI เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างไรนั้น โดยก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการAI แห่งชาติ โดยมีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นฝ่ายเลขา ซึ่งมีการประชุมหลายเรื่อง เช่น บทบาทภาครัฐจะทำอะไรบ้าง และที่มีความชัดเจนก็ คือ ตัวเลขค่าการลงทุนด้าน AI อย่างน้อย 25,000 ล้านบาทในปี 69 เป็นการรวบรวมเบื้องต้นนะครับอีกเรื่องนึงที่ได้มีการคุยกันแล้วเห็นพ้องไปว่าจะทำนั่นคือ “Excellent Center” ที่จะเป็น “Center Point” เฉพาะด้าน AI ส่วนภาคการศึกษาก็จะให้การสนับสนุน สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย และเครือข่ายต่างๆ เพื่อให้รู้จักนำ AI มาใช้ให้เกิดกับประโยชน์กับประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งศูนย์นี้จะเน้นคนไทยเป็นสำคัญให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนรวมถึงมหาวิทยาลัยเกริกด้วย
ซึ่งตรงนี้การที่จะเกิดขึ้นได้ย่อมต้องได้รับการผลักดันและความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและเอกชน ตลอดจนในการขยายผลก็ต้องมีนักวิจัย และสถาบันการศึกษามาร่วมกันทำ ช่วยต่อยอดในการขยายการใช้ประโยชน์วิจัยไปสร้างผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดวันนี้เราผลักดันเต็มที่และเชื่อว่าความร่วมมือตรงนี้จะทำให้เขาไม่แพ้ใครแน่นอนอย่างน้อยในภูมิภาคเอเชียเราน่าจะสู้เขาได้
ด้าน ดร.เศรษฐพันธ์ กระจ่างวงษ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนาทุนทางปัญญา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า อว.เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาด้าน AI ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญ ที่เรียกว่า "อว. For AI" โดยมีเป้าหมายในการนำศักยภาพด้าน AI มาใช้เพื่อพัฒนาประเทศใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การศึกษา (AI for Education), การพัฒนาบุคลากรด้าน AI (AI workforce development), และนวัตกรรมด้าน AI (AI innovation). มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรด้าน AI ให้มีทักษะและความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญ
การส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภาคส่วนต่างๆ ของประเทศ เช่น การเกษตร, การจัดการภัยพิบัติ และอื่นๆ มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรด้าน AI ให้มีทักษะและความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญ เช่น ตอนนี้มีการนำ AI มาใช้ในการตรวจสอบหลักสูตรจำนวนมากของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งซึ่งจากที่เคยใช้เวลาค่อนข้างมากแต่เมื่อใช้ AI ก็จะสามารถพิจารณาหลักสูตรได้ภายในเวลา 90 วัน และยังได้พัฒนาต่อยอดเพื่อนำมาใช้ในเรื่องของการพัฒนาตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ผู้สอน ที่จะช่วยลดในเรื่องของเวลาการรอคอยการพิจารณาตำแหน่งต่างๆโดยเฉพาะในสถาบันภาคเอกชน
ซึ่งมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งได้มีการพัฒนาหลักสูตร AI ของตัวเองไปแล้ว และบางแห่งก็ได้มีการดำเนินการไปสู่หลักสูตรส่วนกลางซึ่งปัจจุบันสามารถลงทะเบียนและเรียนได้เลย อย่างเช่นของ อว.เองก็มีหลักสูตรเพื่อให้ผู้เข้าไปศึกษาได้สามารถเก็บเครดิตสะสมได้เช่นเดียวกับหลายๆหลักสูตรที่เคยทำมาก่อนหน้านี้โดยมีการบรรจุ AI ไว้เป็น 1 หลักสูตรในระบบแล้ว
ในเรื่องของการส่งเสริมการวิจัยทางอว.ก็มีนโยบายเช่นกันอย่างฝ่ายอุดมศึกษาก็มีหน้าที่ในการกำกับดูแลหลักสูตรคุณภาพหลักสูตรและตำแหน่งวิชาการ ในเรื่องของวิทยาศาสตร์เราก็มี next tech ก็มีการพัฒนาเรื่อง AI เป็น Thailand open chat โดยเปิดให้คนไทยได้มีโอกาสใช้บริการ AI ที่เป็นของคนไทยอย่างแท้จริง
ในส่วนของวิจัยเราก็มีหน่วยงานต่างๆที่สนับสนุนและให้ทุนวิจัยแบบเปิดกว้างเพื่อให้สถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนขอทุนเพื่อนำไปพัฒนา AI ของตนเองซึ่งก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาด้าน AI ทั้งองคาพยพในการทำงานเพื่อประเทศชาติร่วมกัน
ผมมองว่าปัจจุบันมีการจัดสัมมนารูปแบบนี้ค่อนข้างเยอะเพราะเป็นแหล่งของการเรียนรู้ซึ่งก็ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมากและก็เป็นประโยชน์จริงแต่การที่จะนำไปเข้าสู่ในระบบรัฐบาลควรต้องมีการกำหนดเป้าประสงค์ในการดำเนินงานอย่างชัดเจนพร้อมทั้งเชื่อมต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน้ำค้างมีมิติในการเชื่อมโยงในเรื่องของการนำเทคโนโลยีไปใช้การกำกับการใช้เทคโนโลยี
“หน้าที่ของการพัฒนาในแนวนโยบายไม่ใช่เป็นเพียงเฉพาะหน้าที่ของภาครัฐสถาบันอุดมศึกษาจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนหากมีความพร้อมมีความตั้งใจก็สามารถร่วมนำพาการขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกันได้ในมิติต่างๆอย่างเช่นในวันนี้จะเห็นว่ามหาวิทยาลัยเกิดก็เป็นหนึ่งในภาคเอกชนพี่เชื่อมโยงให้ความร่วมมือในการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะด้าน AI เช่นกัน” ดร.เศรษฐพันธ์ กล่าว
นอกจากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในงานสัมนาฯครั้งนี้ ที่ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับแนวหน้าของประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษโดยเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว ในช่วงบ่าย มีการเปิด International Opening โดย Professor Dr. Chengqing Zong, President of ACL พร้อมด้วย ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ สดจากงาน “The 63rd Annual Meeting of the Association for Computational Linguistics (ACL 2025)” ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และกิจกรรม Focus Group เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายการใช้ AI ที่มีจริยธรรมและยั่งยืนในประเทศไทย โดยนำผลสรุปปสังเคราะห์เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป