WE Center เมื่อผู้หญิงสร้างศูนย์พักพิง กลางไฟสงครามชายแดน
ท่ามกลางเสียงปืนและการอพยพของผู้คนจำนวนมหาศาลจากชายแดนไทย–กัมพูชา ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งใช้พลังทุ่มเท ลุกขึ้นมาสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้คนที่กำลังหนีภัยสงคราม
ทีมข่าว SPRiNG ได้พูดคุยกับคุณ ชวกร ศรีโสภา หนึ่งในผู้ก่อตั้ง WE Center มูลนิธิผู้หญิงทำงานเพื่อสังคม ที่ลุกขึ้นมาทำงานช่วยเหลือผู้อพยพในสถานการณ์ตึงเครียดครั้งนี้ ท่ามกลางความรุนแรงที่ปะทุขึ้นอย่างไม่คาดคิด และความเกลียดชังที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมชายแดน
คุณชวกรเล่าว่า วิกฤตความขัดแย้งครั้งนี้รุนแรงที่สุด ตั้งแต่ตนอยู่ในพื้นที่สุรินทร์ ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าสมัยสงครามเขมรแดน มีระเบิดจากฝั่งกัมพูชายิงกันเองแล้วข้ามมาตกฝั่งไทยอยู่บ้าง ส่วนปี 2554 ก็สู้รบกันแค่บริเวณเขาพระวิหาร แต่ปี 2568 นี้ ความขัดแย้งมันลุกลามจนถึงขั้นคนอพยพกันครึ่งจังหวัด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยนึกว่าไทย กัมพูชาจะรบกันจริงจังถึงขั้นนี้
ไม่ลังเลที่จะลงมือทำ
“ตอนนั้นเรายังอยู่ที่ภูเก็ต พอเห็นข่าวว่าเหตุปะทะชายแดนมันรุนแรง เราก็รู้ทันทีว่า อีกไม่นาน คนในพื้นที่ต้องอพยพหนีออกมาแน่ ๆ เราไม่รอช้า รีบโทรกลับมาหาคนในมูลนิธิที่สุรินทร์ แล้วบอกให้เริ่มดำเนินการตั้งศูนย์พักพิงทันที”
“มูลนิธิของเราเป็นนิติบุคคล นั่นทำให้เราสามารถเปิดศูนย์พักพิงได้เลยโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากหน่วยงานรัฐ เรามีอาคารสำนักงานของมูลนิธิเอง ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งห้องพัก ห้องประชุม ห้องน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมปรับใช้เป็นพื้นที่รองรับได้ทันที”
“ที่สำคัญคือ เรามีเครือข่ายที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะกลุ่มแกนนำผู้หญิงในศูนย์ ซึ่งลุกขึ้นมาทำหน้าที่จิตอาสาทันที ทั้งช่วยงานครัว ดูแลความเรียบร้อยของศูนย์ และร่วมจัดระบบการลงทะเบียนผู้เข้าพัก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความร่วมมือของคนในชุมชนที่ไม่ลังเลในการลงมือทำ”
คุณชวกรเผยว่า WE Center เป็นมูลนิธิที่ได้รับการสนับสนุนจาก UN Women และที่ผ่านมาเราก็ดำเนินงานอยู่ในชุมชนเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์มาโดยตลอด เราทำงานในหลายด้าน ทั้งกิจกรรมดูแลสุขภาพของผู้สูงวัย การจัดเวิร์กช็อปเรื่องสิทธิของผู้หญิง รวมถึงโครงการเล็ก ๆ อย่างการทำสวนผักเมืองในพื้นที่จำกัด
“จุดเริ่มต้นของทั้งหมดเกิดจากการทำงานร่วมกับคณะกรรมการชุมชน ซึ่งทำให้เรามีฐานความเข้าใจและความไว้วางใจกับคนในพื้นที่อย่างลึกซึ้ง พอเกิดสถานการณ์ชายแดนเราจึงไม่ได้รู้สึกว่าเรากำลังทำสิ่งใหม่ แต่เป็นการ ‘ขยับบทบาท’ ขององค์กรที่อยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว ให้สอดรับกับความจำเป็นเร่งด่วน”
ผู้หญิงกลุ่มเล็ก ๆ ดูแลผู้ลี้ภัย 200 ชีวิต
“ทีมงานของมูลนิธิเราเองมีแค่ 4 คนเท่านั้นค่ะ แต่ด้วยพลังของเครือข่ายที่เหนียวแน่น เราสามารถดูแลผู้ลี้ภัยได้มากกว่า 200 คน และยังขยับจัดการระบบได้เร็วในหลายเรื่อง”
.
“ช่วงแรกที่ตั้งศูนย์พักพิง เราโฟกัสแค่เรื่องการรองรับผู้ลี้ภัยให้ได้เร็วที่สุด จึงยังไม่ได้จัดระบบคัดกรองสุขภาพอย่างชัดเจน ผลที่ตามมาคือ ภายหลังเริ่มมีผู้ป่วยเข้ามาอยู่ในศูนย์ ทั้งผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ ไปจนถึงผู้ป่วยจิตเวช เราจึงต้องกลับมาจัดระบบใหม่ทั้งหมด”
.
“โชคดีที่เรามีเครือข่ายในพื้นที่ที่แข็งแรง เราได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครจากโรงพยาบาลในพื้นที่ และทีม อสม. เข้ามาช่วยดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน มีการตรวจสุขภาพ วัดความดัน และคัดกรองภาวะเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องอาหารการกินก็มีแม่ครัวอาสาจากชุมชนเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ศูนย์สามารถดูแลความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
ความท้าทายของศูนย์พักพิงคือดูแลสุขภาพจิต
คุณชวกรกล่าวว่า “ความท้าทายที่ซับซ้อนกว่าสิ่งของหรือพื้นที่พักอาศัย คือเรื่องสุขภาพจิตของผู้คน ผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งเริ่มมีอาการซึมเศร้า เครียด วิตกกังวล โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้สูงอายุ บางคนไม่พูด ไม่กิน หรือหลับไม่สนิทเลย เราเลยเริ่มจัดกิจกรรมบำบัดขึ้น เช่น กิจกรรมศิลปะบำบัด การออกกำลังกายเบา ๆ สำหรับผู้สูงวัย และกิจกรรมสำหรับเด็ก เพื่อให้เด็ก ๆ และพ่อแม่ได้คลายความเครียดบ้าง”
“ของทั้งหมดที่ใช้ในศูนย์พักพิง เราได้มาจากการบริจาคทั้งสิ้น เราไม่มีงบประมาณเฉพาะกิจเลยในช่วงแรก ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบเร่งด่วน เราอาศัยเพียงพลังของเครือข่าย และความปรารถนาดีของคนไทยที่อยากช่วยเหลือกันจริง ๆ”
“โชคดีที่มูลนิธิของเรามีอุปกรณ์พื้นฐานอยู่แล้วบางส่วน เช่น ผ้าห่ม เครื่องนอน เครื่องครัว แต่ของที่จำเป็นเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ผ้าอนามัย ยารักษาโรค หรืออาหารแห้งสิ่งเหล่านี้ล้วนได้มาจากการที่เรากระจายข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย และเครือข่ายองค์กรพันธมิตรที่เราเคยทำงานร่วมกันมาก่อน”
“บางคนขับรถมาส่งของให้ถึงที่ด้วยตัวเอง บางคนโอนเงินมาให้ซื้อของจำเป็นแบบไม่รีรอ พวกเขาไม่ถามเงื่อนไข ไม่ขอดูรายงาน แค่รู้ว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือ และเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือนั้น”
“สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะท้อนให้เราเห็นถึงพลังของความร่วมมือแบบไม่มีเงื่อนไขอย่างชัดเจนมาก และมันคือแรงผลักดันที่ทำให้ศูนย์ของเราสามารถยืนอยู่ได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด”
แน่นอนว่า มีช่วงที่เหนื่อยอยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนที่ต้องดูแลคนจำนวนมากแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน เช่น คนตาบอด คนจิตเวช หรือผู้สูงอายุติดเตียง ตอนนั้นเราเหนื่อยทั้งกายและใจ แต่สิ่งที่ทำให้ยังไปต่อได้คือ พอเห็นเขาเหล่านั้นที่ไม่รู้เลยว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ หรือกลับไปแล้วจะเจอบ้านที่เหมือนเดิมไหม มันยิ่งผลักให้เราทำต่อ เราเหนื่อยก็จริง แต่เรายังมีเพื่อน มีเครือข่ายที่ช่วยกัน
.
สถานการณ์เริ่มสงบ แต่อนาคตก็ยังไม่แน่นอน
คุณชวกรเผยว่า “ตอนนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น คนที่ร่างกายแข็งแรง หรือมีญาติพอจะกลับบ้านได้ ก็เริ่มทยอยเดินทางกลับแล้ว แต่เรายังมีเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยบางส่วน ที่ยังต้องอยู่ในศูนย์พักพิง เพราะยังไม่พร้อมจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ”
“ความท้าทายใหญ่ในตอนนี้คือ เราไม่รู้เลยว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อแค่ไหน ไม่มีแผนจากภาครัฐที่ชัดเจนออกมาว่าจะจัดการอย่างไรในระยะยาว และนั่นคือสิ่งที่เรากังวลที่สุดค่ะ เพราะถ้าไม่มีข้อมูลชัดเจน เราก็วางแผนอะไรไม่ได้เลย”
“ผู้หญิงเข้าใจผู้หญิงด้วยกัน”
“เราเข้าใจความต้องการ ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว โดยไม่ต้องพูดเยอะ และผู้หญิงส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัย เราจึงสามารถดูแลได้อย่างเข้าอกเข้าใจ และที่สำคัญคือ ผู้หญิงไม่รอคำสั่ง เห็นอะไรขาดก็เข้าไปเติมเต็มเลยค่ะ ผู้หญิงในทีมของเรากล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ และเต็มใจช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องร้องขอ พลังเหล่านี้คือรากฐานของศูนย์ที่เราสร้างขึ้น”
“สิ่งที่กังวล คือคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง”
“ขอให้คนไทยอย่าปลุกปั้นความเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติให้หนักไปกว่านี้เลยค่ะ สิ่งที่เราเห็นคือความรุนแรงทางคำพูดในโลกออนไลน์มันรุนแรงไม่แพ้ระเบิดเลย ผู้คนที่นี่ต้องอยู่ร่วมกันแม้อยู่คนละฝั่งชายแดน เราจึงอยากให้ทุกคนช่วยกันหยุดสร้างความเกลียดชัง และหันมาเข้าใจคนในพื้นที่จริง ๆ ว่าพวกเขากำลังเผชิญอะไรอยู่ สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือสันติภาพ ไม่ใช่ชัยชนะ เพราะไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามที่ประชาชนต้องหนีตายจากบ้านของตัวเอง”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง