กำไรอุตสาหกรรมจีน ทรุด 9.1% หนักสุดรอบ 7 เดือน สะท้อนมาตรการกระตุ้นยังไร้ผล
กำไรอุตสาหกรรมจีน ทรุด 9.1% หนักสุดรอบ 7 เดือน เหตุดีมานด์ในประเทศซบ-ราคาสินค้าลด นักวิเคราะห์เตือนภาคธุรกิจยังเผชิญแรงกดดัน แม้ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีแรกโตเกินเป้า
วันที่ 27 มิถุนายน 2568 เวลา 10.27 น. สำนักข่าว CNBC รายงานว่า กำไรภาคอุตสาหกรรมของจีนทรุดตัวลง 9.1% ในเดือนพฤษภาคม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่สะท้อนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลปักกิ่งยังไม่สามารถฟื้นความสามารถในการทำกำไรของภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวเลขดังกล่าวนับเป็นการลดลงรายเดือนที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นกำไรอุตสาหกรรมลดลงถึง 10% กำไรภาคอุตสาหกรรมถือเป็นดัชนีสำคัญที่สะท้อนสุขภาพทางการเงินของโรงงาน เหมืองแร่ และกิจการสาธารณูปโภคในจีน
ข้อมูลยังระบุว่า กำไรรวมของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ลดลง 1.1% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ให้เหตุผลว่าการลดลงอย่างรุนแรงของเดือนพฤษภาคมเกิดจากความต้องการในประเทศที่ยังอ่อนแอ และราคาสินค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง
ย้อนกลับไปในเดือนกันยายนปีที่แล้ว กำไรภาคอุตสาหกรรมของจีนเคยดิ่งลงหนักถึง 27.1% ส่งผลให้รัฐบาลจีนต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อพลิกฟื้นผลประกอบการของภาคธุรกิจ
ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ของจีนมีกำไรลดลงถึง 29% ขณะที่ภาคการผลิตและกิจการสาธารณูปโภคยังคงมีกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับภาคการผลิตรถยนต์ กำไรลดลง 11.9% จากปีก่อน บริษัทของรัฐจีนมีกำไรลดลง 7.4% ในช่วง 5 เดือนแรก ขณะที่บริษัทเอกชนที่ไม่ใช่ของรัฐมีกำไรลดลง 1.5% ส่วนบริษัทต่างชาติ รวมถึงบริษัทที่มีการลงทุนจากฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน มีกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ตัวเลขดังกล่าวมีขึ้นหลังจากข้อมูลเศรษฐกิจของจีนเมื่อเดือนที่แล้วแสดงให้เห็นภาพรวมที่หลากหลาย โดยยอดค้าปลีกเดือนพฤษภาคมเติบโต 6.4% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2566 อานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนการบริโภคของรัฐบาลจีน ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
นักเศรษฐศาสตร์มองว่ารัฐบาลจีนอาจยังไม่รีบออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมจนกว่าจะมีสัญญาณปัญหาเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น
“ตัวเลขกำไรอุตสาหกรรมที่ลดลงครั้งนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้รัฐบาลจีนออกมาตรการเพิ่มเติม” เทียนเฉิน สวี่ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Economist Intelligence Unit กล่าว พร้อมเสริมว่า “จุดต่ำสุดของกำไรผู้ผลิตอาจผ่านพ้นไปแล้ว” โดยปัจจัยหลักที่กดดันผลประกอบการของภาคอุตสาหกรรมจีนคือราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง
ด้าน โรบิน ซิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ Morgan Stanley ระบุว่า GDP ของจีนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีแนวโน้มเติบโตที่ 5.2% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเป้าหมายทางการของรัฐบาลปักกิ่งที่ 5% เล็กน้อย จึงทำให้โอกาสที่รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมในการประชุมโปลิตบูโรเดือนกรกฎาคมลดลง
ในมุมมองเดียวกัน นีโอ หวัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจาก Evercore ISI มองว่า “ไม่มีหลักประกันว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม” ในการประชุมโปลิตบูโรเดือนหน้า โดยอ้างอิงจากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคและยอดค้าปลีกที่เติบโตในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
หวังกล่าวเพิ่มเติมว่าท่าทีของรัฐบาลจีนในการออกมาตรการกระตุ้นจะขึ้นอยู่กับการประเมินความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่จะมีขึ้นช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และทิศทางมาตรการภาษีของสหรัฐ
แม้ว่านโยบายภาษีของสหรัฐจะผันผวน แต่การส่งออกของจีนปีนี้ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสหภาพยุโรป ในเดือนพฤษภาคม การส่งออกของจีนเติบโต 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ว่าการส่งออกไปยังสหรัฐจะลดลงถึง 34.5%
Citi คาดการณ์ว่าการส่งออกโดยรวมของจีนปีนี้จะเติบโตประมาณ 2.3% โดยประเมินว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ จะลดลงราว 10%
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดเผยว่า ทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกับจีนแล้ว แม้จะไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมออกมา โดยทำเนียบขาวชี้แจงในเวลาต่อมาว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในกรอบข้อตกลงเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการตามข้อตกลงเจนีวา
ก่อนหน้านี้ข้อตกลงเจนีวาติดขัดจากข้อพิพาทด้านการควบคุมส่งออกแร่สำคัญของจีน และมาตรการจำกัดเทคโนโลยีและวีซ่านักเรียนจีนของสหรัฐ
ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดเก็บภาษีตอบโต้และข้อจำกัดการส่งออกแร่ของจีนชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา
สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง Morgan Stanley เตือนว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มชะลอลงจากแรงกดดันด้านเงินฝืด การชะลอตัวของการส่งออกที่เร่งตัวในช่วงต้นปี และผลกระทบจากมาตรการภาษีต่อการส่งออกโดยตรงไปยังสหรัฐ
อ้างอิง : www.cnbc.com