ผลผลิตล้นโลก-ข้าวไทยส่อดิ่งต่อ โบรกเกอร์ชี้เสี่ยงแตะตันละ 4 พัน
ราคาข้าวเปลือกของไทยในปี 2568 กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ หลังร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี ที่ระดับ 5,000 บาทต่อตัน สะท้อนภาพรวมของตลาดที่กำลังเผชิญภาวะอุปทานล้นเกิน ทั้งจากปริมาณผลผลิตข้าวในประเทศที่สูงขึ้น และการแข่งขันรุนแรงจากผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาดโลกทั้งจากอินเดีย และเวียดนาม ขณะที่ยอดการส่งออกข้าวของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปีลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศให้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้สถานการณ์นี้ ปัญหาราคาข้าวตกต่ำจึงกลายเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ต้องเร่งหามาตรการ รองรับและฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร และรักษาเสถียรภาพภาคการเกษตรไทยท่ามกลางความท้าทายที่ทวีความรุนแรงขึ้นในเวทีการค้าโลก
ส่งออกวูบหนักฉุดข้าวเปลือกดิ่ง
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ราคาข้าวเปลือกของไทยที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5,000-6,000 บาทต่อตัน ต่ำสุดในรอบ 17 ปี ณ เวลานี้ มีส่วนสำคัญจากการส่งออกข้าวไทยลดลงไปมาก โดยระหว่างวันที่ 2 ม.ค.-17 มิ.ย.2568 ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 3.3 ล้านตัน (รวมตัวเลขจากการขอใบอนุญาตส่งออก แต่ยังไม่มีการส่งออกจริงในเดือนมิ.ย.แล้ว) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงไปถึง 24%
ทั้งนี้ในส่วนของข้าวขาว 5% ซึ่งเป็นชนิดข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุดช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ส่งออกได้เพียง 1.2 ล้านตัน จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วส่งออก 2.4 ล้านตัน หรือลดลงถึง 50% ขณะเทียบสถิติการส่งออกข้าวไทยกับคู่แข่งขันในตลาด ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ อินเดียส่งออกได้แล้ว 11 ล้านตัน เวียดนาม 4.2 ล้านตัน ไทย 3.05 ล้านตัน และปากีสถาน 2.5 ล้านตัน ในปีนี้ไทยอาจหล่นมาอยู่อันดับ 3 ของประเทศผู้ส่งออกข้าว มีสิทธิ์ที่เวียดนามจะแซงไทยขึ้นไปอยู่อันดับ 2 จากปีที่แล้วไทยอยู่อันดับ 2 รองจากอินเดีย
“ราคาข้าวเปลือกในประเทศที่ลดลงมากในเวลานี้ มีส่วนสำคัญต่อเนื่องจากไทยส่งออกข้าวได้ลดลง ลูกค้าในต่างประเทศก็ไม่มีกำลังซื้อ ประเทศผู้ซื้อผลผลิตก็ดีขึ้น หลังผ่านพ้นเอลนีโญมา 2 ปี และปัจจุบันอยู่ในช่วงลานีญา น้ำท่าดี ผลผลิตข้าวทุกประเทศดีหมด ส่วนตลาดแอฟริกาที่เป็นหนึ่งในตลาดใหญ่ของไทยก็ถูกข้าวอินเดียที่ราคาถูกกว่ามาแย่งตลาดไปมาก”
ข้าวล้นโลกลดนำเข้า
นายชูเกียรติ ยังได้ยกตัวอย่างประเทศอินโดนีเซีย ที่ในปีที่ผ่านมามีการนำเข้าข้าวประมาณ 4 ล้านตัน (ในจำนวนนี้นำเข้าจากไทย 1.5 ล้านตัน) จากประสบปัญหาภูมิอากาศ ทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ปีนี้อินโดนีเซียประกาศลดการนำเข้า เนื่องจากมีผลผลิตข้าวในประเทศที่ดี ทำให้ตัวเลขการส่งออกข้าวไทยไปอินโดนีเซียลดลงอย่างมาก ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียได้เพียง 4.2 หมื่นตัน จากช่วงเดีวกันปีที่แล้วส่งออกไปได้ 9.33 แสนตัน หรือลดลงมากกว่า 95% คาดปีนี้ไทยจะส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียได้ไม่น่าถึงแสนตัน
ขณะเดียวกันในปี 2568 อินเดียผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายใหญ่สุดของโลก ก็มีผลผลิตข้าวที่ดี โดยคาดจะมีผลผลิตข้าวสารถึง 150 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผลผลิตข้าวสาร 137 ล้านตัน และปีนี้อินเดียตั้งเป้าส่งออกข้าวถึง 24 ล้าน ขณะที่ไทยตั้งเป้าส่งออกข้าวที่ 7.5 ล้านตัน (ลดลงจากปี 2567 ที่ส่งออกได้ 9.9 ล้านตัน) ซึ่งยังต้องลุ้นว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ เพราะเวลานี้มีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก
โบรกเกอร์ส่งสัญญาณแตะ 4 พัน
“เวลานี้ราคาข้าวไทยในตลาดโลกก็ลดลงมาใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งขัน แต่ก็ยังขายยาก โดยข้าวขาว 5% ของไทยขายอยู่ที่ 390 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อินเดีย 380 ดอลลาร์ และเวียดนาม 385 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน แต่ตลาดก็ยังค่อนข้างเงียบมาก จากหลากหลายปัจจัยข้างต้นที่มากดดัน ส่วนในประเทศเวลานี้ข้าวรอบนาปรังครอปใหม่ที่จะออกมาอีกในต้นเดือนหน้า คาดจะมีผลิตประมาณ 1 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มซัพพลายในตลาดยิ่งกดดันราคาข้าวเปลือกในประเทศให้ลดลงไปอีก” นายชูเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้โบรกเกอร์ ( ตัวกลางในการซื้อขายข้าวระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ)ล่าสุดได้ออกมาระบุว่า อาจจะได้เห็นราคาข้าวขาว 5% ของไทยในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 350 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเพื่อการแข่งขัน ซึ่งเมื่อทอนมาเป็นข้าวเปลือกอาจจะอยู่ที่ระดับ 4,000 บาทต่อตัน ส่วนตัวมองว่าราคาข้าวเปลือกระดับนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะชาวนาจะอยู่ไม่ได้
ชาวนาโอดขาดทุนอ่วม
ด้าน นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนการผลิตของชาวนาไทยเฉลี่ยที่ 5,500-6,000 บาทต่อไร่ ต้นทุนหลักส่วนใหญ่เป็นค่าปุ๋ย ค่าน้ำมัน และยาปราบศัตรูพืช และปัจจุบันยังมีต้นทุนเพิ่มจากที่รัฐบาลห้ามเผาตอซังและฟางข้าว โดยระบุทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 หากใครยังเผาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล ทำให้ชาวนามีต้นทุนเพิ่มในส่วนของจุลินทรีย์ชีวภัณฑ์ย่อยสลายตอซัง และฟางในนาข้าวขั้นต่ำอีกไร่ละ 500 บาท และหากนับรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก สำหรับการทำนายุคใหม่ เช่น ค่าจ้างรถเกี่ยวข้าว โดรนหว่านปุ๋ย พ่นยา ต้นทุนก็จะสูงกว่ากว่า 6,500-7,000 บาทต่อไร่
ดังนั้นการที่ราคาข้าวเปลือกตกต่ำอยู่ที่ระดับ 5,000-6,000 บาทต่อตัน(ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 25%) ทั่วประเทศในเวลานี้ หักต้นทุนแล้วถือว่าเกษตรกรขาดทุน และไม่มีกำไรเหลือเลย เทียบกับปีที่แล้วในช่วงที่อินเดียยังไม่กลับมาส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาว ชาวนาขายข้าวเปลือกเจ้าได้ที่ระดับ 11,000-12,000 บาทต่อตัน ทำให้พอลืมตาอ้าปากได้
“เวลานี้สถานการณ์ส่งออกข้าวไทยในตลาดโลกไม่ดี ผู้ส่งออกขายยาก เราก็เข้าใจ ซึ่งผลต่อเนื่องทำให้โรงสีก็ซื้อข้าวเปลือกเพื่อนำไปสีส่งขายให้ผู้ส่งออก และผู้ผลิตข้าวถุงในราคาที่ต่ำลง โดยทุกวันนี้โรงสีก็ซื้อข้าวเปลือกเฉพาะแค่พอสีได้ แค่พอส่งออกได้ ไม่มีการแย่งซื้อข้าวเปลือกตุนเหมือนเมื่อก่อน เพราะเวลานี้โรงสีส่วนใหญ่ก็ขาดสภาพคล่อง หลายรายก็ปิดตัวไป และยังเป็นหนี้เป็นสิน ส่วนในรายที่เหลืออยู่ธนาคารก็ไม่ปล่อยกู้ให้จากกลัวความเสี่ยงหนี้เสีย” นายปราโมทย์ ระบุ
ขอเร่งเยียวยาไร่ 1,000-2,000
นายกสมาคมชาวนาฯ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทุกภาคส่วนของข้าวไทยได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ซึ่งในส่วนของชาวนาอยากให้รัฐบาลเร่งเยียวยา โดยการจ่ายเยียวยาไร่ละ 1,000 บาท สำหรับฤดูข้าวนาปรัง ทางอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ด้านการตลาดได้เห็นชอบจ่ายเยียวยาเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ซึ่งเดิมมีเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปรังขึ้นทะเบียนไว้ 2.08 แสนราย (เดิมอนุมัติวงเงินเยียวยาไว้แล้ว 2,800 ล้านบาท) แต่เวลานี้เพิ่มขึ้นเป็น 8.04 แสนราย จากพื้นที่ปลูกประมาณ 11 ล้านไร่ ซึ่งการจ่ายไร่ละ 1,000 สำหรับนาปรังถือเป็นครั้งแรก
ดังนั้นจึงขอให้กรมส่งเสริมการเกษตรได้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าที่มาขึ้นทะเบียน 8.04 แสนรายนั้น เป็นเกษตรตัวจริงหรือไม่ เพื่อที่รัฐบาลจะได้พิจารณางบประมาณเพิ่มเติมในการจ่ายเยียวยาต่อไป
ส่วนข้าวนาปี ที่ผลผลิตจะออกมาในช่วงปลายปีนี้ จากสถานการณ์ผลผลิตที่คาดจะออกมามาก และข้าวมีทิศทางราคาตกต่ำ ในเบื้องต้น คณะอนุกรรมการ นบข.ด้านการตลาดที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานได้รับหลักการที่จะจ่ายเยียวยาไร่ละ 2,000 บาท แต่จำนวนไร่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งในส่วนของชาวนา อยากให้เร่งเตรียมการเพื่อช่วยบรรเทาของเดือดร้อนของเกษตรกรต่อไป
“ผลผลิตข้าวไทยมีมาก คาดภาพรวมปีนี้จะมีผลผลิตข้าวเปลือก 32-33 ล้านตัน สีแปรเป็นข้าวสารได้ประมาณ 20-21 ล้านตัน หากเราส่งออกข้าวสารได้ปีนี้ประมาณ 7-8 ล้านตัน บริโภคในประเทศประมาณ 10 ล้านตัน ก็จะเหลือสต๊อกข้าวอีก 2-3 ล้านตันก็จะยิ่งกดทับราคาข้าวไทยให้ลดลงไปอีก ขณะที่ผลผลิตข้าวฤดูการผลิตใหม่ก็จะออกมาเรื่อย ๆ
ดังนั้นทางรอดหนึ่งผู้ส่งออกต้องเร่งหาตลาดใหม่ ๆ ขณะที่รัฐบาลต้องเร่งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวไทยใหม่ ๆ ที่ให้ผลผลิตสูงมากกว่า 1 ตัน หรือมากกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อไร่เราถึงจะอยู่รอดได้ในระยะยาว”
บริหารต้นทุนชี้ชะตากำไร
ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ราคาข้าวในประเทศ และในตลาดโลกมีราคาที่ดี ทั้งชาวนา โรงสี และผู้ส่งออกถือว่ามีรายได้และกำไรจากข้าวในอัตราเปอร์เซ็นที่ใกล้เคียงกัน แต่ใครจะมีกำไรมากหรือน้อย ขึ้นกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนของตัวเอง
อย่างไรก็ดีในส่วนของชาวนาเป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองน้อยที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งอำนาจต่อรองด้านปัจจัยการผลิตที่ต้องแบกรับตามภาวะตลาด ทำให้มีจุดอ่อนด้านต้นทุนที่สูง
“ปัจจุบันชาวนาไทยส่วนใหญ่เป็นรายย่อย มีที่นาเฉลี่ยไม่เกิน 15-20 ไร่ต่อราย และต้องรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ บางรายเป็นนาเช่า บางรายเปลี่ยนนาตัวเองเป็นนาเช่า เพราะมีการขายนาเพื่อปลดหนี้ และกลับมาเช่าตัวเองจากเจ้าของที่เปลี่ยนมือเป็นรายอื่น ซึ่งในส่วนนี้ปัจจุบันมีเยอะขึ้น และชาวนายังเป็นหนี้เฉลี่ยรายละประมาณ 3 แสนบาทต่อครัวเรือน และเวลานี้อาจมากกว่านั้น”
สิ่งที่รัฐบาลช่วยในช่วงที่ผ่านมา เช่น พักชำระหนี้ ช่วยเหลือปัจจัยการผลิต เป็นช่วง ๆ จ่ายไร่ละ 1,000 หรือพักชำระหนี้ ซึ่งในข้อเท็จจริงหนี้ก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไป ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาก็มีหลากหลายมาตรการ แต่ไม่ได้รับการปฏิบัติจริงจัง เช่น การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น