“ส.อ.ท.” ชี้การเมืองเปลี่ยนเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจสู่หายนะ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ไทยกำลังเผชิญหน้าพายุวิกฤติหลายลูกพร้อมกันทั้งปัญหาภายในที่เรื้อรัง และปัจจัยภายนอกที่รุนแรงอย่างน้อย 4 ด้านโดย หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเวลานี้ อาจนำพาเศรษฐกิจที่กำลังประคองตัวอยู่สู่หายนะ ทำให้ผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ลำบากหนักกว่าเดิม
ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองในประเทศเปรียบเสมือนหล่มที่ฉุดรั้งประเทศมานาน จากโครงสร้างระบบการเมืองที่อ่อนแอ แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ ไทยกำลังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาภายนอก ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจ ประกอบด้วย
- การเจรจาภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐ ซึ่งต้องเร่งเดินหน้า โดยการที่สหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยสูงถึง 36% ใกล้ครบกำหนด 90 วัน หากรัฐบาลเกิดสุญญากาศ ไม่มีผู้นำที่มีอำนาจเต็มการเจรจาอาจทำให้สหรัฐไม่เชื่อถือ และจะกระทบรุนแรงการส่งออกไทย
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวิกฤติชายแดนเริ่มจากการปิดด่านและกระทบกระทั่งกัน กำลังสร้างความเสียหายมหาศาลต่อการค้าชายแดนกระทบต่อรายได้ 500 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งสมาชิก ส.อ.ท.หลายรายได้รับผลกระทบทางตรง ทั้งที่ส่งสินค้าไม่ได้และโรงงานในกัมพูชาต้องหาวัตถุดิบจากแหล่งอื่นด้วยต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อนานแค่ไหน
ความล่าช้าในการผ่านงบประมาณปี 2569 หากยุบสภาฯ หรือนายกรัฐมนตรีลาออก ขณะที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ยังไม่ผ่านจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง โดยไทยเคยงบประมาณล่าช้า 8-9 เดือน ทำให้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจหายไปส่งผลให้ผู้รับเหมาล้มละลายและเลิกจ้างจำนวนมาก
การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งอยู่ช่วงแนวโน้มที่ดี และมีเส้นตายสรุปภายในสิ้น 2568 แต่หากเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจทำให้การเจรจาติดขัดและถูกเลื่อนออกไป
“การเปลี่ยนรัฐบาลจะทำให้การทำงานมีปัญหา โดยหากยุบสภาฯ หรือนายกรัฐมนตรีลาออก จะเห็นข้าราชการเกียร์ว่าง ส่วนภาคเอกชนจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูภาพความชัดเจน (wait and see ) ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงใครจะอยู่ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) และจะมีอำนาจขับเคลื่อนนโยบายแค่ไหน"