AI รุกเศรษฐกิจอาเซียน ธุรกิจต้องปรับ คนต้องเรียนรู้ใหม่ ก่อนตกขบวน
ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้กลายเป็นพลังพลิกโลกที่ส่งแรงสะเทือนมาถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรุนแรง และรวดเร็ว จากรายงานล่าสุดของWorld Economic Forum (WEF) คาดการณ์ว่า ระหว่างปี 2025 ถึง 2030 เทคโนโลยี AI จะช่วยสร้างงานใหม่มากถึง 11 ล้านตำแหน่งทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ 9 ล้านตำแหน่งต้องหายไป สะท้อนความจริงที่ว่าเทคโนโลยีนี้คือ “ดาบสองคม” อย่างแท้จริง
แม้จะมีความกังวลเรื่องการแทนที่แรงงานโดยเครื่องจักร แต่ AI ก็ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซาก เปิดทางให้มนุษย์ได้ใช้เวลาไปกับการคิดเชิงกลยุทธ์และสร้างสรรค์มากขึ้น ตั้งแต่ระบบแชทบอทที่ช่วยตอบคำถามลูกค้า ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ที่สามารถเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจทั้งระบบ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุน AI ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Amazon Web Services, Microsoft และ Google ทุ่มเงินลงทุนตั้งแต่หลักพันล้านไปจนถึง 9 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ไม่ว่าจะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบคลาวด์ ไปจนถึงโครงการฝึกอบรมแรงงานในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และสิงคโปร์
รายงานจาก Kearney คาดการณ์ว่า AI อาจช่วยเพิ่ม GDP ของภูมิภาคได้ถึง 10-18% ภายในปี 2030 หรือคิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์ชัดเจน ได้แก่ อีคอมเมิร์ซ การท่องเที่ยว และเกมมิ่ง ซึ่งกำลังใช้ AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการทำการตลาด การให้บริการลูกค้า และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือ “คน” หลายประเทศในภูมิภาคยังขาดบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI อย่างเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็น Data Science, Machine Learning หรือแม้แต่ผู้ที่เข้าใจ AI เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน เช่น การแพทย์ การเงิน หรือค้าปลีก ส่งผลให้หลายตำแหน่งงานว่างในสาย AI ไม่สามารถหาคนมาทำได้ แม้จะมีความต้องการสูงก็ตาม
รายงานจาก Access Partnership ยังชี้ว่า ผู้หญิงและคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z อาจได้รับผลกระทบสูงสุดจากการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยมากกว่า 70% ของแรงงานหญิง และถึง 76% ของคนรุ่นใหม่ในบางอาชีพจะถูกแทนที่หรือถูก “เพิ่มประสิทธิภาพ” โดย AI แบบ General AI
ไม่เพียงแต่บริษัทใหญ่เท่านั้นที่หันมาใช้ AI แต่ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (MSMEs) ก็เริ่มมองเห็นว่าการไม่ปรับตัวอาจหมายถึง “การหายไป” จากตลาด ศาสตราจารย์ Jochen Wirtz จาก National University of Singapore กล่าวไว้ชัดเจนว่า “ถ้าไม่โต ไม่ปรับตัว ก็เตรียมตัวตาย” เป็นคำเตือนถึงผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาค
หลายธุรกิจเริ่มต้นด้วยการใช้ AI ง่ายๆ เช่น แชทบอทเพื่อตอบลูกค้า หรือระบบแปลข้อความในตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีความหลากหลายทางภาษา เช่น Lita Global จากอินโดนีเซียที่ใช้ AI เพื่อแปลข้อความประชาสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว และจัดอีเวนต์ออนไลน์ได้มากขึ้น ทำให้รายได้ต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 20% นอกจากนี้ยังมีการใช้ AI เพื่อช่วยให้ "นักเล่นเกมให้เช่า" สามารถตอบสนองต่อคำถามจากลูกค้าได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อมากขึ้นถึง 10-20%
AI livestreaming ก็กลายเป็นอีกหนึ่งอาวุธใหม่ในกลยุทธ์การขาย โดยเฉพาะในธุรกิจแฟชั่นและอาหาร ซึ่งแต่เดิมต้องลงทุนในการจ้างโฮสต์ เช่าสตูดิโอ และอุปกรณ์จำนวนมาก ปัจจุบันสามารถใช้โฮสต์ AI ที่มีต้นทุนต่ำลงมาก เช่น บริการจาก TopviewAI ที่คิดค่าบริการเพียง 1 ดอลลาร์ต่อนาที และใช้เพียงคนเดียวควบคุมทั้งระบบ
อย่างไรก็ตาม AI ยังเป็นเรื่องที่ “แพง” สำหรับหลายธุรกิจ การเข้าถึงเครื่องมือระดับสูง หรือการเชื่อมต่อ API กับโมเดลอย่าง OpenAI ยังมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น Lita Global ระบุว่าใช้เงินถึง 2,000 ดอลลาร์ต่อเดือนในการซื้อโทเคนของระบบ แต่คาดว่าในอีกไม่กี่ปี ราคาการใช้งาน AI จะลดลงมาก จากการคาดการณ์ของ Gartner ที่ระบุว่าค่าใช้บริการ API จะลดลงเหลือน้อยกว่า 1% ของราคาปัจจุบันภายในปี 2027
ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน หลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม กำลังเร่งลงทุนหรือเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติในการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบคลาวด์ และเทคโนโลยี EDGE Computing รวมถึงโซลูชันสีเขียวเพื่อลดการใช้พลังงานและน้ำ
อีกด้านหนึ่ง หลายภาคธุรกิจ เช่น การเงิน การผลิต โลจิสติกส์ และการแพทย์ เริ่มใช้ AI ในการตรวจจับการฉ้อโกง บริหารซัพพลายเชน และวินิจฉัยโรค ขณะที่ประเทศต่างๆ พยายามวางกรอบนโยบายและข้อกำหนดด้านจริยธรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัลกอริธึมที่มีอคติ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ ทักษะที่จำเป็นสำหรับมนุษย์จะยิ่งโดดเด่นขึ้น เช่น ความคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ การปรับตัว การสื่อสาร และความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงทักษะเฉพาะทาง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนโปรแกรม และความเข้าใจเครื่องมืออย่าง TensorFlow หรือ PyTorch
หากภูมิภาคนี้สามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ดึงดูดและพัฒนาบุคลากร ตลอดจนส่งเสริมนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนา AI ได้อย่างสมดุล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจไม่ใช่แค่ผู้ตามในยุค AI แต่เป็นหนึ่งในผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มภาคภูมิ
อ้างอิง: Moderndiplomacy, CNBC, Asianinsiders, BCG