จับทิศทาง-ข้อเสนอ “เจรจาภาษีทรัมป์” ก่อนไทยบินเจรจา สัปดาห์หน้า
การเจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญในปี 2568 หลังจากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก โดยที่ประเทศไทย ก็หนีไม่พ้นถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 36% และจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
ล่าสุดในการเจรจาภาษี กำลังมีความคืบหน้าไปอีกขึ้น หลังจากรอความชัดเจนมานาน เพราะการเจรจาระดับสูงที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม นี้ โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมนำคณะเจรจาไทยไปพบกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เพื่อหาทางออกจากวิกฤตการค้าครั้งนี้
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการเจรจาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศในระยะยาว การเจรจาครั้งนี้จึงมีความสำคัญยิ่งต่อทิศทางการค้าไทยในอนาคต ขณะที่ภาคเอกชนและผู้ประกอบการไทยกำลังจับตาดูผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด
การเตรียมความพร้อมของไทยในการเจรจา
ต้องยอมรับว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้เตรียมความพร้อมเจรจาต่อเนื่อง โดยจัดเตรียมข้อเสนอของไทย และได้ส่งไปยังสหรัฐฯ ในครั้งแรก ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลได้มีการส่งข้อเสนอต่อสหรัฐฯ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีตัวแทนจากหลายภาคส่วนได้พูดคุยในหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) หรือในระดับการพูดคุยของรัฐมนตรี และขอรอเวลาที่เหมาะสมในการนัดเจรจา
สำหรับข้อเสนอของไทยที่ได้ยื่นให้สหรัฐฯ พิจารณาก่อนหน้านี้ มีเนื้อหาสำคัญที่ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานนโยบายการค้า และผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ประกอบไปด้วยการเจรจา 5 เสาหลัก ดังนี้
1.ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย- สหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล (Data Center and AI Industry) และการพิจารณาดำเนินการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี
2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตร และเครื่องบิน ส่วนประกอบและอุปกรณ์บริการ รวมถึงบริษัทด้านพลังงานของสหรัฐฯ เพื่อหาโอกาสและเพิ่มความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกัน
3.การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย เช่น ผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น รวมทั้งลดภาษี และลดอุปสรรคทางการค้า
4.การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า
5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น
จนในวงเจรจาครั้งล่าสุด นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าทีมเจรจาฝ่ายไทย ได้เผยว่า ทีมเจรจาได้รับข้อเสนอจำนวน 5 ข้อจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญเพื่อสร้างสมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ
สำหรับข้อเสนอทั้ง 5 ข้อ ประกอบด้วย
- มาตรการทางภาษีและโควตา
- มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB)
- การค้าดิจิทัล (Digital Trade)
- แหล่งกำเนิดสินค้า
- ความมั่นคงภายในประเทศและด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (Economic and National Security)
ประเด็นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเจรจาที่ไม่เพียงแต่เน้นที่ภาษีเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมประเด็นโครงสร้างการค้าที่กว้างขวางกว่า โดยไทยอาจต้องเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ ลดภาษีที่สูงกว่าสำหรับสินค้าอเมริกัน และแก้ไขอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี
ตัวอย่างประเทศที่เจรจาไปแล้ว
สำหรับประเทศต่าง ๆ ที่ได้ยืนยันแผนการจัดการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดเผยแผนภาษีของเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลลัพธ์การเจรจาของประเทศอื่นๆ แต่การที่มีประเทศจำนวนมากที่เข้าสู่กระบวนการเจรจาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้ในระดับสากล ประเทศต่างๆ ต่างมีกลยุทธ์และข้อเสนอที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะความสัมพันธ์ทางการค้าและโครงสร้างเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
การเจรจาในระดับพหุภาคีนี้อาจส่งผลต่อตำแหน่งการต่อรองของไทย ทั้งในแง่บวกและลบ ในแง่บวก ไทยสามารถเรียนรู้จากกลยุทธ์และผลลัพธ์ของประเทศอื่น ในแง่ลบ การแข่งขันเพื่อได้รับการปฏิบัติที่ดีจากสหรัฐฯ อาจทำให้ไทยต้องยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย
ประเมินผลกระทบจากเอกชน
ภาคเอกชนไทยได้ประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหาร สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป
ผู้ประกอบการหลายรายได้เริ่มปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยการหาตลาดทางเลือกในภูมิภาคอื่น เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง และอินเดีย บางรายเร่งการลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีภาษีสูง
อย่างไรก็ดีจากสถานการณ์ปัจจุบัน การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อและซับซ้อน เนื่องจากสหรัฐฯ ได้วางเงื่อนไขที่ครอบคลุมหลายด้าน ไม่เพียงแต่เรื่องภาษีเท่านั้น ความสำเร็จของการเจรจาจะขึ้นอยู่กับความสามารถของไทยในการตอบสนองข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ทั้ง 5 ประเด็นที่ได้เสนอมา
แนวโน้มที่เป็นไปได้หลายอย่าง ทั้ง การลดอัตราภาษีลงจากเดิมแต่ไม่ถึงระดับที่ไทยต้องการ การได้รับยกเว้นในบางประเภทสินค้า การตกลงกันในรูปแบบข้อตกลงการค้าที่มีขอบเขตจำกัด หรือการไม่ประสบความสำเร็จและต้องเผชิญกับภาษี 36% เต็มอัตรา
ปัจจัยที่จะส่งผลต่อผลลัพธ์การเจรจา รวมถึงสถานการณ์การเมืองภายในสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศ และผลกระทบต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ จากการขึ้นราคาสินค้านำเข้า การเจรจาครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ แต่ยังจะเป็นตัวชี้วัดความสามารถของไทยในการปรับตัวและเจรจาในยุคการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่ในระยะยาว หากการเจรจาประสบความสำเร็จ อาจเป็นแบบอย่างสำหรับการแก้ไขข้อพิพาทการค้าในอนาคต แต่หากไม่สำเร็จ ไทยจะต้องปรับกลยุทธ์การค้าและการลงทุนเพื่อลดความพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ และหันไปพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศและภูมิภาคอื่น ๆ มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในแผนที่การค้าของไทยในอนาคต