"ผู้พันเบิร์ด" เปิดปมในใจเขมร แพ้ไทยมาตลอด
(22 ก.ค. 68) พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผอ.สำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับ กอ.รมน. โพสต์ข้อความระบุว่า “ปมในใจ แพ้ไทยมาตลอด” เรื่องเล่าเล็กๆจากรองแม่ทัพภาค2 ที่ผมได้มีโอกาสนั่งสนทนากัน
เรื่องมีอยู่ว่าในเทศกาลประจำปี เช่น ปีใหม่หรือสงกรานต์ กองกำลังทั้งสองฝ่ายก็เห็นตรงกันว่าจะจัดการแข่งขันกีฬาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยในพื้นที่ มีอยู่ครั้งหนึ่งเราตกลงกันว่าจะจัดแข่งมวยกับวอลเลย์บอลสำหรับมวยนั้นเราจะจัดกัน 8 คู่ โดยคุยกันว่าจะให้ชนะ ประเทศละ 4 คู่ จะได้เสมอๆกัน ก็เลยจัดประกบมวยแบบชนะ 4 แพ้ 4 ส่วนวอลเลย์บอลเราก็จะเล่นกันแบบสนุกๆ ใช้ทหารในพื้นที่แข่งกัน
แต่ด้วยความที่มีปมในใจของเขมรเรื่องอยากที่จะเอาชนะไทยแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็จะเอา พอถึงวันแข่งจริงเขมรได้มีการเปลี่ยนตัวนักมวย 4 คน เพื่อต้องการที่จะชนะไทยให้ได้ทั้ง 8 คู่ โดยอ้างเหตุผลว่านักมวย 4 คนเดิมที่ประกบแต่อ่อนกว่าไทยนั้นป่วยไม่สามารถมาแข่งได้ ส่วนวอลเลย์บอลก็ไปเอาตัวกองทัพมาจากส่วนกลางทั้งทีม เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมนึกย้อนและไม่แปลกใจเลยว่า ผู้นำของ กองทัพในตอนนั้นกับนายกฯของเขมรในตอนนี้เป็นคนคนเดียวกัน ที่ชอบคือเล่นการเมืองแบบ 5 บาท 10 บาท ส่วนการแข่งขันกีฬาตามเทศกาลก็ต้องการเอาชนะแบบ สลึงสองสลึงก็จะเอา ผมจึงมีความเห็นว่าเราไปวัดกันที่กีฬาซีเกมส์ปลายปีนี้เลยจะดีกว่าไหม
ดังนั้นเราลองมาดูสถิติการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ผ่านมาโดยไทยได้เหรียญทองสะสม 2,453 เหรียญมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเขมรได้เหรียญทองสะสมเพียง 159 เหรียญ โดยทั้ง 159 เหรียญนั้นได้มากที่สุดคือครั้งที่ตนเองเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 32 ได้ 81 เหรียญแต่ก็ไม่ใช่เจ้าเหรียญทองนะ โดยมีอยู่ 30 เหรียญที่เป็นกีฬาพื้นบ้านของตนเองและเป็นกีฬาที่ตนแก้ไขกติกาใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง
แต่ถ้าจะให้ลงรายละเอียดเฉพาะ 2 ชนิด กีฬาคือมวยและวอลเลย์บอลก็มีตามนี้
วอลเลย์บอลนั้นมีทั้งหมด 46 เหรียญไทยได้ไป 24 เหรียญทองส่วนเขมรไม่เคยได้เหรียญทองเลย
ส่วนมวยนั้นเอาครั้งที่เขมรเป็นเจ้าภาพก็ได้ไทยได้ไปทั้งหมด 9เหรียญทอง ส่วนเขมรนั้นได้ 1 เหรียญทอง
เราไปวัดกันที่ซีเกมส์ปลายปีนี้เลยดีกว่าที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในห้วงระหว่างวันที่ 9 ถึง 20 ธันวาคม 2568
ซัว-สะ-เดย์