ป.ป.ช. ลุยแผน TaB เปลี่ยนเกมโกง “ไม่ให้-ไม่รับ” ต้านสินบนทั้งระบบ
“รื้อระบบ รุกวัฒนธรรม” ป.ป.ช. ลุยแผน TaB ปิดทางสินบน เปลี่ยนเกมทุจริตทั้งประเทศ
คุณอาจเคยได้ยินคำว่า “ปราบโกง” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทำไมการทุจริตจึงยังวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันไม่รู้จบ? คำตอบอาจไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายหรือการจับคนผิด แต่คือการตั้งคำถามใหม่กับ “ระบบ” และ “ค่านิยม” ที่ปล่อยให้การให้และรับสินบนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
บทความนี้จะพาคุณสำรวจแนวคิดเบื้องหลังโครงการ “TaB” (Together Against Bribery) กลยุทธ์ใหม่ของสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ไม่ได้มุ่งแค่ล่าตัวผู้กระทำผิด แต่ต้องการพลิกวัฒนธรรมทั้งระบบ ผ่านการเปลี่ยนวิธีคิดจากรากฐาน ทำไมการเปลี่ยนวัฒนธรรมจึงสำคัญกว่าการจับให้ได้ ไล่ให้ทัน
และเหตุใดคำว่า “ไม่ให้-ไม่รับ” จึงกลายเป็นทางรอดระยะยาวของประเทศ ในวันที่คนไทยเริ่มไม่ยอมอยู่ภายใต้เกมเดิมอีกต่อไป
ในโลกที่ความโปร่งใสกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ การให้และรับสินบนไม่ได้เป็นเพียงพฤติกรรมผิดกฎหมาย แต่ยังเป็นกลไกเงียบที่กัดกร่อนระบบราชการ เศรษฐกิจ และความไว้วางใจของสังคมต่อรัฐ ปัญหานี้ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด มันเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่ ทุกระดับ และมักแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันโดยที่สาธารณชนอาจไม่รู้ตัว
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงริเริ่มโครงการ “TaB” หรือ “Together Against Bribery” ผสานพลังป้องปรามการให้และรับสินบนโครงการ โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทุจริตในสังคมไทย ผ่านกลยุทธ์เชิงโครงสร้างและยุทธวิธี ที่ไม่เพียงมุ่งปราบปรามปลายเหตุ แต่พยายามรื้อระบบตั้งแต่ต้นทาง
วางรากระบบโปร่งใส ด้วยกลยุทธ์โครงสร้างและยุทธวิธี
โครงการ TaB ถูกออกแบบมาให้เป็นมากกว่ามาตรการชั่วคราว แต่คือแนวทางบูรณาการที่ตั้งเป้าลดโอกาสการให้และรับสินบนในทุกระดับ ผ่านสองแนวทางหลัก ได้แก่ แนวทางเชิงโครงสร้าง (Structural Approach) และแนวทางเชิงยุทธวิธี (Tactical Approach)
แนวทางเชิงโครงสร้างมุ่งจัดระบบใหม่ทั้งหมด โดยลดการพึ่งพาดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การออกใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือใบอนุญาตโรงงานที่เคยต้องใช้เวลาหลายเดือน ผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและเปิดช่องให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์ ปัจจุบันเมื่อเปลี่ยนเข้าสู่ระบบดิจิทัล ทุกขั้นตอนสามารถตรวจสอบได้ ไม่มีการพบปะเจ้าหน้าที่โดยตรง และไม่สามารถแก้ไขเอกสารย้อนหลังได้ ซึ่งช่วยตัดตอนโอกาสการเจรจาต่อรองผลประโยชน์แอบแฝง
แนวทางเชิงยุทธวิธีทำงานคู่ขนานกับเชิงโครงสร้าง โดยเน้นการลงพื้นที่สืบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริง และสนับสนุนผู้แจ้งเบาะแส ป.ป.ช.จัดตั้งเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลาง เพื่อเฝ้าระวังในจุดเสี่ยง และใช้ข้อมูลเชิงลึกจากภาคประชาชนในการพัฒนาแนวทางป้องกันที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
เปิดโปงวงจรสินบนในชีวิตจริง
หัวใจของโครงการ TaB คือความเข้าใจเชิงระบบเกี่ยวกับวงจรสินบน ซึ่งมักเริ่มต้นจาก
“ผู้ให้” ที่เสนอผลประโยชน์ เช่น เงิน ของขวัญ หรือการเลี้ยงดู เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิพิเศษหรือการละเว้นหน้าที่ และจบลงที่ “ผู้รับ” ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่ของตนให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ และวงจรนี้จะหมุนซ้ำจนกลายเป็นความเคยชินในบางองค์กรหรือพื้นที่
ตัวอย่างที่ชัดเจนเกิดขึ้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมสูงที่สุดในประเทศไทย การตรวจสอบของ ป.ป.ช. พบว่า มีผู้ประกอบการบางรายเปลี่ยนข้อมูลนักท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติเป็นคนไทย เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมในอัตราที่ต่ำกว่า ทำให้รัฐสูญเสียรายได้มหาศาล หลังจากการเร่งปรับระบบเข้าสู่รูปแบบ E-Ticket รายได้ของอุทยานเพิ่มขึ้นทันทีถึง 200 ล้านบาทภายในปีเดียว
3 เป้าหมายหลักของการตัดวงจรสินบนปี 2568
จากการประชุมกำหนดแผนงานประจำปี โครงการ TaB มุ่งจัดการกับปัญหาสินบนในสามกลุ่มหลัก ได้แก่
1. สินบนในเขตชายแดนและการค้า เช่น การขอผ่านด่านศุลกากรโดยไม่ถูกตรวจสอบ การหลีกเลี่ยงภาษี และการเร่งรัดกระบวนการนำเข้าสินค้า ซึ่งมักเกิดในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษหรือเขตการค้าชายแดน
2. สินบนในกระบวนการอนุมัติเอกสารราชการ เช่น ใบอนุญาตก่อสร้าง ใบอนุญาตประมง หรือใบรับรองสิ่งแวดล้อม ที่เปิดช่องให้เกิดการเรียกรับเพื่อเร่งขั้นตอน หรือหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
3. สินบนเฉพาะพื้นที่ เช่น การจ่ายเงินเพื่อได้ทำเลค้าขายในงานเทศกาล การใช้พื้นที่อนุรักษ์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการเพิกเฉยต่อการละเมิดกฎหมายในพื้นที่อ่อนไหว
บทบาทผู้ประกอบการในการหยุดวงจรสินบน
หนึ่งในหลักการสำคัญของโครงการ TaB คือการให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดวงจรสินบนตั้งแต่ต้นทาง เพราะในหลายกรณี ผู้ประกอบการคือผู้เริ่มต้นเสนอผลประโยชน์ หากสามารถปฏิเสธการจ่ายสินบนได้ตั้งแต่แรก ก็เท่ากับตัดโอกาสให้ผู้เรียกรับ
แนวทางที่แนะนำ ได้แก่ การใช้ระบบ E-licensing ในการยื่นขออนุญาต เพื่อลดการพบปะเจ้าหน้าที่ การแจ้งเบาะแสเมื่อพบพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส เช่น ไม่จัดเลี้ยงเจ้าหน้าที่ ไม่ให้ของขวัญ และตั้งระบบตรวจสอบภายในอย่างจริงจัง
การเปลี่ยนวัฒนธรรม คือ ‘ราก’ ของการเปลี่ยนแปลง
โครงการ TaB ไม่ได้มุ่งเน้นที่การลงโทษเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยเปลี่ยนความคิดที่เคยเชื่อว่าการให้สินบนคือทางลัด ให้กลายเป็นการยึดมั่นในความถูกต้องว่า “ไม่โกงคือการลงทุนระยะยาว” ขององค์กรและประเทศ
การสร้างวัฒนธรรมใหม่จึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน พร้อมกลไกตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเข้าถึงง่าย เพื่อให้ประชาชนกล้าที่จะแจ้งเบาะแส โดยมั่นใจว่าจะได้รับการคุ้มครอง
ทางเลือกของสังคมไทยหลัง TaB ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง
ท้ายที่สุด โครงการ TaB แสดงให้เห็นว่า การต่อต้านสินบนไม่ใช่เรื่องของ ป.ป.ช. เพียงหน่วยเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน หากทุกคนหยุดให้ หยุดรับ และหยุดเฉยต่อการทุจริต ประเทศจะมีโอกาสสร้างระบบราชการที่ตรวจสอบได้ และเศรษฐกิจที่แข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ผู้ที่พบพฤติกรรมต้องสงสัยสามารถแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน ป.ป.ช. 1205 เว็บไซต์สำนักงาน หรือสำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดทั่วประเทศ การเปลี่ยนแปลงอาจใช้เวลา แต่ทุกการปฏิเสธตั้งแต่วันนี้ คือก้าวแรกของวัฒนธรรมใหม่ที่ไม่ยอมจำนนต่อสินบนอีกต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ป.ป.ช. ลุยแผน TaB เปลี่ยนเกมโกง “ไม่ให้-ไม่รับ” ต้านสินบนทั้งระบบ
- ความเสี่ยงทางการเมือง ฉุดรั้งอนาคตเศรษฐกิจไทย?
- ศูนย์ CDC ป.ป.ช. ขยับเกมต้านโกง ใช้โซเชียลเป็นเรดาร์ตรวจจับทุจริต
- ศูนย์ CDC ป.ป.ช. ขยับเกมต้านโกง ใช้โซเชียลเป็นเรดาร์ตรวจจับทุจริต
- โต้วจี ฮองเฮาผู้เลือกความยุติธรรมเหนือสายเลือด บนเวทีงิ้วแต้จิ๋ว