KKP Dime ชี้นักลงทุนเริ่มกลับเข้าเทรดหุ้นไทย หลังความไม่แน่นอนลดลง
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 26 สิงหาคม 2568 เวลา 22.19 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทกรุงเทพฯ 26 ส.ค. – บล.เคเคพี ไดม์ ชี้หุ้นสหรัฐ-บิตคอยน์ ทำ All Time High ไปแล้ว นักลงทุนเริ่มกลับมาสนใจหุ้นไทย หลังความไม่แน่นอนลดลง มาตรการภาษีสหรัฐคลี่คลาย มอง TouristDigiPay เป็นโอกาสให้เงินไหลเข้าไทย ลดข้อจำกัดใช้จ่าย หนุนเศรษฐกิจประเทศ พร้อมเปิดตัว Dime แอปพลิเคชันการเงินและการลงทุน สู่แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์การเงินครบวงจร
นายฉัตริน ลักษณบุญส่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านผลิตภัณฑ์ (CPO) บริษัทหลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด (KKP Dime) ภายใต้กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในขณะนี้ว่า หุ้นสหรัฐ และ บิตคอยน์ ได้ผ่านจุดสูงสุดตลอดกาล ( All Time High) ไปแล้ว ขณะที่หุ้นไทยเริ่มเห็นทิศทางเป็นบวก นักลงทุนเริ่มหันกลับมาสนใจหุ้นไทยมากขึ้น จากหลายปัจจัย โดยในช่วงที่ผ่านมามี หุ้น IPO ตัวใหม่ โดยเฉพาะการบินไทย (THAI) ได้กลับเข้าเทรดในตลาดหุ้น ประกอบกับมาตรการภาษีสหรัฐเริ่มคลี่คลาย เมื่อความไม่แน่นอนลดลง ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาเชื่อมั่นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนรายย่อยมองว่าท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน การลงทุนในระยะยาวยังถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสม รวมถึงการมีวินัยในการลงทุน KKP Dime จึงเปิดตัว Dime แอปพลิเคชันการเงินและการลงทุน มุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์การเงินครบวงจร พร้อม 3 นวัตกรรม ออปชันหุ้นสหรัฐฯ โดยเริ่มต้นจากการปฏิวัติการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ให้เข้าถึงได้ด้วยเงินเพียง 50 บาท และลงทุนทองคำเริ่มต้น 100 บาท, ประกันภัยการสู่เดินทาง “ไดม์ใจ” และบัตรเดบิตใช้จ่ายทั่วโลก “ไดม์เนิน” รวมถึงโปรแกรมสมาชิก “Dime! Club” ที่มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568ปัจจุบันแอปพลิเคชัน Dime! มียอดดาวน์โหลดกว่า 2 ล้านครั้ง และมีผู้ใช้งานกว่าครึ่งเป็นกลุ่ม Gen Z ที่ได้ชื่อว่า The Invest Generation ผู้พร้อมจะเติบโตไปกับการลงทุน สร้างโอกาสการลงทุน ตอบโจทย์นักลงทุนรุ่นใหม่ ตอกย้ำพันธกิจ Live more. Worry Less ราบรื่น ปลอดภัย และไร้กังวล
นายฉัตริน ยังกล่าวถึง โครงการ Tourist Digi Pay ของกระทรงการคลัง ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถแลกคริปโตเป็นเป็นเงินบาท สแกนชำระเงินค่าสินค้าและบริการ ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนกับร้านค้าต่าง ๆ ได้ในประเทศไทย ที่คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ ไตรมาส 4 ปี 2568 นั้น มองว่าการเปิดกว้างเป็นข้อดี ทำให้มีกระแสเงินไหลเข้า-ออกประเทศ ช่วยลดข้อจำกัดด้านการใช้จ่าย มีความสะดวกและไม่สะดุด เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแน่นอน ซึ่งหากเศรษฐกิจดีจะส่งผลให้คนสามารถออมและลงทุนได้มากขึ้นเช่นกัน.-516-สำนักข่าวไทย