ย้อนประวัติศาสตร์ 1,000 ปี ‘จักรวรรดิขะแมร์’ ผ่านห้วงเวลาที่รุ่งเรืองสุดขีด - สู่การดำดิ่งแทบสิ้นชาติ
บทความนี้ ไม่มีความมุ่งหมายหรือประสงค์ต่อการเหยียดเชื้อชาติแต่อย่างใด แต่เพียงเพื่ออธิบายถึงความน่าสงสารของประชาชนชาวเขมร พลเมืองของประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้หรือสำนึกในบุญคุณของราชอาณาจักรไทยเลยแม้แต่น้อย แม้วลีที่ว่า "เขมร…ชนชาติที่ถูกคำสาป" จะเกิดจากบาดแผลและความโชคร้ายที่ประเทศนี้ประสบมาตลอดประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ทั้งยังอาจกระตุ้นให้เกิดมุมมองที่ซับซ้อนและโศกเศร้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาวเขมร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองผ่านมุมมองที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา เช่น ระบอบเขมรแดงและความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่า จะเป็น 'ชนชาติที่ถูกสาป' แต่เขมรครั้งหนึ่งก็เคยมีมรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์แห่งความรุ่งโรจน์และความทุกข์ทรมาน
จักรวรรดิขะแมร์ (ศตวรรษที่ 9–15) เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้สร้างสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ เช่น นครวัด นครธม และวัดวาอารามอันน่าทึ่งอื่น ๆ ที่ยังคงตั้งตระหง่านมาจนถึงทุกวันนี้ จักรวรรดิแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา พร้อมด้วยความก้าวหน้าทางศิลปะ สถาปัตยกรรม และวิศวกรรมศาสตร์อันน่าทึ่ง เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่ทรงอำนาจและรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับนครวัดและวัดวาอารามอันยิ่งใหญ่อื่นๆ นครวัดเจริญรุ่งเรืองมาหลายศตวรรษ กระนั้น การล่มสลายของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่นี้ในศตวรรษที่ 15 อาจเป็นผลมาจากความขัดแย้งภายใน การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม และการรุกรานจากต่างชาติ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเขมร การล่มสลายของนครวัด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นตัวอย่างแรกเริ่มของความโชคร้ายที่ถาโถมเข้าใส่ประเทศชาติ ปูทางไปสู่ความไม่มั่นคงและอิทธิพลจากต่างชาติมาหลายศตวรรษ ในช่วงรุ่งเรือง จักรวรรดิขะแมร์มีกองทัพที่แข็งแกร่ง เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูจากการเกษตรและการค้า และวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา
ยุคอาณานิคมและการปกครองโดยต่างชาติ หลังจากสงครามหลายครั้งกับอาณาจักรใกล้เคียง นครวัดถูก อาณาจักรอยุธยายึดครองและถูกทิ้งร้างในเวลาต่อมา เนื่องจากความล้มเหลวทางระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานพังทลาย หลังจากฝรั่งเศสเข้ามาล่าเมืองขึ้นในภูมิภาคนี้ เขมรก็ตกอยู่ภายใต้อารักขาของฝรั่งเศสในปี 1863 และเข้าร่วมอินโดจีนของฝรั่งเศส แม้ว่าฝรั่งเศสจะนำโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และความทันสมัยมาสู่ประเทศ แต่การปกครองของพวกเขาก็ยังคงกดขี่ โดยส่วนใหญ่แล้ว เขมรถูกมองว่าเป็นเพียงส่วนน้อยของจักรวรรดิอาณานิคม ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจและการสูญเสียอำนาจปกครองตนเองทางการเมือง ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่ความขัดแย้งและความไม่สงบภายในที่ยาวนานนับศตวรรษ มรดกแห่งยุคอาณานิคมได้ทิ้งรอยแผลลึกไว้ให้กับเขมร และการต่อสู้เพื่อเอกราชนั้นยาวนานและเต็มไปด้วยความยากลำบาก (โดยมีช่วงสั้น ๆ ที่เขมรถูกยึดครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1941 ถึง 1945) ในที่สุดเขมรก็ได้รับเอกราชในปี 1953 ภายใต้กษัตริย์นโรดม สีหนุ แต่มรดกแห่งการปกครองโดยต่างชาติได้หยั่งรากลึกลงสู่ความขุ่นเคืองและความไม่มั่นคง
ราชอาณาจักรเขมร (1953–1970) ในปี 1955 กษัตริย์พระสีหนุทรงสละราชสมบัติเพื่อให้พระราชบิดาได้เข้าร่วมทางการเมืองและได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตในปี 1960 กษัตริย์สีหนุทรงขึ้นครองราชย์อีกครั้ง ระหว่างสงครามเวียตนามดำเนินไป กษัตริย์สีหนุทรงดำเนินนโยบายความเป็นกลาง อย่างเป็นทางการ ในช่วงสงครามเย็นกษัตริย์สีหนุทรงอนุญาตให้คอมมิวนิสต์เวียดนามใช้กัมพูชาเป็นที่หลบภัยและเป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและความช่วยเหลืออื่น ๆ ให้แก่กองกำลังติดอาวุธที่สู้รบในเวียตนามใต้ ในเดือนธันวาคม 1967 สแตนลีย์ คาร์โนว์ นักข่าวหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้รับแจ้งจากกษัตริย์สีหนุว่า หากสหรัฐอเมริกาต้องการทิ้งระเบิดที่หลบภัยของคอมมิวนิสต์เวียดนาม พระองค์จะไม่ทรงคัดค้าน เว้นแต่ชาวเขมรจะถูกสังหาร สารเดียวกันนี้ได้ถูกส่งต่อไปยังเชสเตอร์ โบว์ลส์ผู้แทนของประธานาธิบดีจอห์นสันแห่งสหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคม 1968 กษัตริย์สีหนุทรงปฏิเสธสิทธิของสหรัฐอเมริกาในการใช้การโจมตีทางอากาศในเขมรต่อสาธารณชน และในวันที่ 26 มีนาคม พระองค์ตรัสว่า "การโจมตีเหล่านี้ต้องยุติลงโดยทันทีและเด็ดขาด" ในวันที่ 28 มีนาคม ได้มีการแถลงข่าว และกษัตริย์สีหนุทรงอุทธรณ์ต่อสื่อมวลชนนานาชาติว่า "ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านเผยแพร่จุดยืนที่ชัดเจนอย่างยิ่งนี้ต่อสาธารณชนเกี่ยวกับเขมร นั่นคือ ข้าพเจ้าจะคัดค้านการทิ้งระเบิดทั้งหมดในดินแดนกัมพูชาไม่ว่าด้วยข้ออ้างใดๆ ก็ตาม" อย่างไรก็ตาม การทิ้งระเบิดโดยกองทัพสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไป
สาธารณรัฐเขมร (1970–1975) ขณะเสด็จเยือนกรุงปักกิ่งในปี 1970 กษัตริย์สีหนุถูกโค่นล้มโดยการรัฐประหาร โดยนายพล ลอน นอล นายกรัฐมนตรีและเจ้าชายสีสุวัตถิ์สิริมัตตะ เมื่อการรัฐประหารเสร็จสิ้น รัฐบาลใหม่ซึ่งเรียกร้องให้องกำลังคอมมิวนิสต์เวียตนามถอนออกจากกัมพูชา นายพล ลอน นอล ได้รับการสนับสนุนทางการเมืองจากสหรัฐอเมริกา กองกำลังเวียตนามเหนือและเวียตกงซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาที่มั่นและเส้นทางลำเลียงเสบียงจากเวียตนามเหนือ จึงได้เปิดฉากโจมตีรัฐบาลใหม่ด้วยอาวุธ กษัตริย์สีหนุทรงกระตุ้นให้ผู้ภักดีช่วยโค่นล้มรัฐบาลนี้ อันเป็นการเร่งให้เกิดสงครามกลางเมือง เขมรแดงเริ่มใช้กษัตริย์สีหนุเพื่อแสวงหาการสนับสนุน ตั้งแต่ปี 1970 ถึง 1972 ความขัดแย้งในเขมรส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลและกองทัพ กับกองกำลังติดอาวุธของเวียตนามเหนือ เมื่อเวียดนามสามารถเข้าควบคุมดินแดนเขมรได้ คอมมิวนิสต์เวียดนามได้จัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองใหม่ ซึ่งที่สุดก็ถูกครอบงำโดยคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือ “เขมรแดง”
เอกสารที่ค้นพบจากหอจดหมายเหตุโซเวียตหลังปี 1991 เผยให้เห็นว่าความพยายามของเวียตนามเหนือที่จะยึดครองเขมรในปี 1970 เกิดขึ้นตามคำร้องขออย่างชัดเจนของเขมรแดง และเจรจาโดยนวน เจียรองผู้บัญชาการของพล พต ในขณะนั้น กองกำลังของกองทัพเวียตนามเหนือได้บุกยึดที่มั่นของกองทัพสาธารณรัฐเขมร ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (CPK) ขยายการโจมตีเส้นทางการสื่อสาร ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่า กองกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐฯ และเวียตนามใต้ได้เคลื่อนกำลังเข้าสู่เขมรในปฏิบัติการเพื่อมุ่งทำลายฐานทัพของกองทัพเวียตนามเหนือในเขมรเพื่อตอบโต้การรุกรานของเวียตนามเหนือ
ในวันขึ้นปีใหม่ 1975 กองทัพคอมมิวนิสต์ได้เปิดฉากรุก ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของสาธารณรัฐเขมรภายใน 117 วัน การโจมตีพร้อมกันรอบปริมณฑลกรุงพนมเปญได้กดดันกองกำลังฝ่ายสาธารณรัฐให้ถอยร่น ขณะที่หน่วย CPK อื่น ๆ ได้บุกยึดฐานที่มั่นของกองทัพสาธารณรัฐเขมรที่ควบคุมเส้นทางลำเลียงเสบียงสำคัญในแม่น้ำโขงตอนล่าง การขนส่งกระสุนและยุทโธปกรณ์ทางอากาศได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อรัฐสภาสหรัฐปฏิเสธความช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับเขมร รัฐบาลลอน นอลในกรุงพนมเปญยอมจำนนในวันที่ 17 เมษายน 1975 เพียง 5 วันหลังจากที่คณะผู้แทนสหรัฐฯ อพยพออกจากเขมร (มีการประมาณการว่า ชาวเขมรเสียชีวิตนับหมื่นคนระหว่างการทิ้งระเบิดของสหรัฐอเมริกาในปี 1970 – 1973)
(ยังมีต่อ)