พักก่อนเรื่องหัวใจ ขอหาเพื่อนใหม่พอ รู้จัก Timeleft แอปฯ หาเพื่อนใหม่ ที่แมทช์คนแปลกหน้า ที่คล้ายกันให้มาเจอกัน
ถ้าชีวิตมันน่าเบื่อเกินไป ลองไปกินข้าวกับคนแปลกหน้าดูไหมล่ะ? ในยุคปัจจุบัน ที่เราสามารถหาเพื่อนออนไลน์ กด Follow ใครต่อใครได้ง่ายมาก แต่เชื่อว่าหลายคนรู้สึกว่า การหาคนที่เป็นคอเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง และคอนเนกต์กับเราได้จริงๆ มันอาจจะยากแสนยาก ยิ่งลองเล่นแอปฯ เดตดู ก็มีแต่คนมาหาแฟน หรือคนคุย แต่บางครั้งเราก็ไม่อยากได้ความสัมพันธ์แนวนั้น
ถ้าคุณกำลังรู้สึกแบบนี้ เราขอแนะนำให้รู้จักSocial Connecting Platform ที่กำลังมาแรงทั่วโลก และกำลังเติบโตในไทย อธิบายง่ายๆ คือแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงคนเข้าหากันด้วยบุคลิก นิสัย และเปอร์เซ็นต์ความถูกคอกัน
หนึ่งในแพลตฟอร์มที่กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ คือ Timeleft แอปฯ ที่ชวนให้ ‘คนแปลกหน้า’ มาตอบคำถามวัดบุคลิกภาพ เช่น ชอบออกไปเที่ยวไหม เก็บตัวแค่ไหน เป็นคนตลกหรือจริงจัง
แล้วแพลตฟอร์มจะแมทช์กับคนแปลกหน้าอีก 5 คน ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน จองร้านข้าวแสนอร่อยที่เหมาะกับทุกคน แล้วเปิดโอกาสให้ได้เชื่อมสัมพันธ์กัน โดยไม่มีความคาดหวังใดๆ
[ Timeleft แพลตฟอร์มที่เกิดจากการตั้งคำถามสำคัญของชีวิต ]
ฟังจากคอนเซปต์ Timeleft ดูจะเป็นแพลตฟอร์มหาเพื่อนกินข้าวทั่วไป ไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่จริงๆ แล้ว จุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มนี้ ลึกซึ้งกว่านั้นมาก
Maxime Barbier ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มชาวฝรั่งเศส ก่อตั้ง Timeleft ขึ้นมาในฐานะแพลตฟอร์มที่สู้กับความเหงาของคนเมือง แรงบันดาลใจมาจากตัวเขาเอง หลังจากวันเกิดอายุ 30 ที่อยู่ๆ ก็ตระหนักว่า เวลาในชีวิตของตัวเองเหลือน้อยลงทุกที
ก่อนหน้านั้น แมกซีมเคยทำงานอยู่ในแวดวงออร์แกไนเซอร์ในปารีส คุ้นเคยกันดีกับชีวิตกลางคืน และการเข้าสังคมกับคนใหม่ๆ เมื่อได้ไอเดียของ Timeleft ที่อยากเยียวยาความเหงาของคน เขาคิดจะทำแพลตฟอร์มบางอย่าง ที่เชื่อมผู้คนที่น่าจะถูกคอกันมาเจอกัน เพื่อใช้เวลาที่แต่ละคนมีอยู่ให้ดีที่สุด
แรกเริ่ม Timeleft เป็นแพลตฟอร์มที่แมทช์ผู้คนด้วย Bucket List หรือลิสต์ที่อยากทำก่อนตาย ถ้ามีเหมือนกันก็ไปทำกิจกรรมร่วมกัน อย่างแมกซีมเองที่ชาเลนจ์ตัวเอง ด้วยการออกไปกินกาแฟกับคนแปลกหน้าให้ได้ 100 คน ก่อนที่ภายหลังจะเปลี่ยนโฟกัสเป็นการ ‘กินข้าวเย็นกับคนที่น่าจะเข้ากันได้’ เพราะดูชิลล์กว่า และน่าจะเข้าถึงคนได้มากกว่า ซึ่งแมกซีมก็คิดถูกแหละ
ด้วยนับตั้งแต่ Timeleft ปล่อยออกไปในปี 2023 ที่เมืองลิสบอน แพลตฟอร์มก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ถูกขยายการใช้งานไปยัง 80 เมืองใหญ่ๆ ในยุโรปในปีแรก และตอนนี้ก็มาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย
อ่านถึงตอนนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า Timeleft แมทช์คนได้ยังไง จะเหมือน Dating App ไหม เราขอสรุปให้ฟังอย่างนี้
⏱︎ Timeleft ไม่ใช่แอปฯ เดตแน่นอน เพราะในแอปฯ ไม่มีการให้ใส่รูป หรือฟังก์ชั่นปัด (Swipe) เพื่อแมทช์กันคนอื่น
⏱︎ แทนที่จะแมทช์ด้วยหน้าตาหรือนิสัย Timeleft ใช้อัลกอริทึมแมทช์คนแปลกหน้า 6 คนเข้าด้วยกัน ผ่านการระบุพื้นที่ที่ต้องการจะไปดินเนอร์ ชุดคำถามด้านบุคลิกภาพที่สะท้อนนิสัยส่วนตัว และนิสัยด้านการเข้าสังคม เช่นว่า ชอบใช้เวลาในธรรมชาติหรือในเมือง, ชอบมุกตลกเสียดสีหรือเปล่า, เป็นคนเก็บตัวแค่ไหน, ชอบออกกำลังกายหรือเปล่า, ชอบออกไปเที่ยวกับเพื่อนไหม, อารมณ์ขันสำคัญสำหรับคุณแค่ไหน
⏱︎ จากนั้น แพลตฟอร์มจะประเมินเปอร์เซ็นต์การเข้ากันได้ดี ของเรากับเพื่อนใหม่ ก่อนจะเข้าสู่การกรอกข้อมูลนิยามตัวเองเรื่องเพศ สถานะความสัมพันธ์ การมีลูก งาน วันเกิด ประเทศ แล้วระบบจะค้นหาว่ามีโต๊ะดินเนอร์ที่ว่างสำหรับเราหรือเปล่า
⏱︎ แพลตฟอร์มจะจองร้านอาหารในพื้นที่ที่เราระบุ ซึ่งจะเลือกให้เหมาะสมกับคาแรกเตอร์ เชื้อชาติ และเงื่อนไขของคนกลุ่มนี้ด้วย และจะบอกว่าเป็นที่ไหนก่อนเวลานัดไม่กี่ชั่วโมง เพื่อเซอร์ไพรส์ โดยปกติจะจัดขึ้นในวันพุธกลางสัปดาห์
⏱︎ เมื่อมาถึงร้าน แอปฯ ก็จะให้ชุดคำถามที่ละลายพฤติกรรม หรือเล่นเกมถามตอบกันง่ายๆ และหลังจากกินข้าวเสร็จ เราก็เลือกได้ว่าอยากเชื่อมสัมพันธ์ต่อกับคนแปลกหน้าที่เจอหรือเปล่า ซึ่งหากความต้องการตรงกัน ในแพลตฟอร์มจะปลดล็อกฟังก์ชั่นแชตเพื่อให้คุยกันต่อได้
⏱︎ แมกซีม ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มย้ำหลายรอบว่า เขาอยากให้ Timeleft เป็นพื้นที่ที่จะส่งเสริมให้เกิดการสนทนาที่จริงใจ มิตรภาพดีๆ และประสบการณ์การเข้าสังคมที่เหมาะกับทุกคน
ตอนนี้ Timeleft เปิดให้ใช้ในงานไทยเรียบร้อยแล้ว แต่ยังเปิดให้ลองในกรุงเทพมหานคร พื้นที่ของ สาทร สีลม ริเวอร์ไซด์ อารีย์ และสุขุมวิทเท่านั้น ใครสนใจก็ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ของพวกเขา หรือดาวน์โหลดแอปฯ มาลองเล่นได้เลย
หรือหากใครกำลังมองหาแอปฯ อื่นๆ ที่มีคอนเซปต์คล้ายกัน ลองเสิร์ชหา Meetup, Eatwith, Bumble BFF หรือ The Dinner Party แล้วอ่านคอนเซปต์ดูคร่าวๆ ก็ได้นะ เราเข้าใจว่าการไปเจอคนแปลกหน้า อาจเป็นเรื่องน่ากลัว และต้องระวังตัวจริงๆ นั่นแหละ แต่ใครจะรู้ บางทีมันอาจจะเป็นโอกาส พาเราไปเจอผู้คนใหม่ๆ ที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทเราภายหลังก็ได้นะ
อ้างอิง