กัมพูชาผ่านกฎหมาย ‘เพิกถอนสัญชาติ’ ท่ามกลางความกังวลว่าจะนำไปสู่การปิดปากและควบคุมผู้เห็นต่างทางการเมือง
รู้หรือไม่? กัมพูชากำลังจะมีกฎหมาย ‘เพิกถอนสัญชาติ’ ซึ่งมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองสำหรับปิดปากและควบคุมการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้เห็นต่างทางการเมือง และนำมาสู่ความกังวลด้านสิทธิมนุษยชน
25 สิงหาคม 2568 รัฐสภากัมพูชาผ่านกฎหมายที่เปิดทางให้มี ‘การเพิกถอนสัญชาติ’ กับผู้ถูกตัดสินว่าสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติหรือข้อหากบฏ
กฎหมายดังกล่าวผ่านมติจากสมาชิก 120 จาก 125 คน รวมนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต รัฐสภากัมพูชาซึ่งมีพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party, CPP) กุมอำนาจฝ่ายบริหารมาอย่างยาวนาน
เดิมรัฐธรรมนูญกัมพูชาระบุว่า พลเมืองชาวกัมพูชาจะเพิกถอนสัญชาติได้ก็ต่อเมื่อมี ‘การตกลงร่วมกันเท่านั้น’ แต่หากมีการกฎหมายดังกล่าวจะทำให้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาเป็น “การรับสัญชาติ สูญเสียสถานะสัญชาติ หรือถอนสัญชาติกัมพูชานั้นจะได้รับการพิจารณาตัดสินโดยกฎหมาย”
ที่ผ่านมาบุคคลสําคัญทางการเมืองของกัมพูชาหลายคนได้หลบหนีออกจากประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม โดยเฉพาะหลังพรรคกู้ชาติ (Cambodian National Rescue Party, CNRP) ถูกยุบพรรคโดยคำพิพากษาของศาลฎีกากัมพูชาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ก่อนการเลือกตั้งในปีถัดไป
หลังจากนั้น รัฐบาลกัมพูชาได้พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับพรรคฝ่ายค้านมากกว่า 100 คน โดยหลายคนถูกจําคุกในข้อหากบฏและปลุกปั่น
เครือข่ายสิทธิมนุษยชน 50 กลุ่ม ได้ออกแถลงการณ์วิพากษ์กฎหมายดังกล่าวว่า “อาจมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองของพลเมืองกัมพูชาทุกคน” เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีความคลุมเครือในการบังคับใช้ และการชี้เป้าหมายไปที่ ‘การเพิกถอนสัญชาติ’ เป็นบทลงโทษที่สูงเกินกว่าจะยอมรับได้
นอกจากนั้น บางส่วนมองว่า ฮุนเซน เสนอให้มีการแก้กฎหมายเพื่อเพิกถอนสัญชาติ หลังผู้นำฝ่ายค้านพลัดถิ่นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาในประเด็นความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยแถลงการณ์จากเครือข่ายสิทธิระบุเพิ่มเติมว่า “รัฐบาลมีอํานาจมากมาย แต่พวกเขาไม่ควรมีอํานาจตัดสินใจโดยพลการว่าใครเป็นและไม่ใช่ชาวกัมพูชา”
ขณะที่ Koeut Rith รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกัมพูชา กล่าวว่า “หากคุณทรยศต่อชาติ ชาติจะไม่เก็บคุณไว้”
ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวยังคงต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงของกัมพูชาก่อนที่จะประกาศใช้โดยประมุขแห่งรัฐ
ด้าน Montse Ferrer ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยภูมิภาคแอมเนสตี้ ระบุว่า การเพิกถอนสัญชาติพลเมืองเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจทำให้บุคคลนั้นกลายเป็น ‘คนไร้สัญชาติ’ ซึ่งนำมาสู่การละเมิดสิทธิในการมีสัญชาติ สิทธิในการเข้าประเทศตัวเอง และการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการสาธารณะ
นอกจากนั้น ผู้ที่ไร้สัญชาติยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล การสมัครงาน การเข้าเรียนในโรงเรียน การย้ายถิ่นฐาน หรือการแต่งงานได้ ซึ่งเป็นการผลักให้คนหนึ่งคนเผชิญกับการถูกกีดกันทางสังคม การเลือกปฏิบัติ และเสี่ยงต่อการถูกกดขี่ข่มเหงรังแกอีกด้วย
อ้างอิงจาก