เศรษฐกิจลาบูบู้ บุก ‘สหรัฐ-ยุโรป’ สำเร็จ ความคลั่งไคล้ตุ๊กตาขน จะจบลงที่ตรงไหน?
ตุ๊กตาขนปุกปุยที่มีฟันเล็กๆ อย่าง“ลาบูบู” (Labubu) ได้ก้าวข้ามสถานะของเล่นธรรมดาไปสู่การเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างน่าทึ่ง
ความคลั่งไคล้ในตุ๊กตาจาก Pop Mart International Group Ltd. นี้ได้แผ่ขยายจากตลาดบ้านเกิดในจีนไปสู่สหรัฐอเมริกาและยุโรปอย่างรวดเร็ว โดยรายได้ในต่างประเทศพุ่งสูงขึ้น 440% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025
เศรษฐกิจลาบู่บู้
ปรากฏการณ์ "ลาบูบู้" สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่รุนแรงและเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้นของนักสะสมทั่วโลก
ตุ๊กตาลาบูบู้ บางรุ่นที่มีการประมูลสูงถึง 150,000 ดอลลาร์ในปักกิ่ง และราคาในตลาดรีเซลล์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น StockX ที่มีการเติบโตของ ยอดขาย Pop Mart ถึง 748% ในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับทั้งปี 2024 ทำให้กลายเป็นแบรนด์ของสะสมอันดับหนึ่งบนแพลตฟอร์ม ผู้คนทั่วโลกต่างหาวิธีสร้างรายได้จากปรากฏการณ์นี้ ตั้งแต่การปล่อยเช่ารายวัน ไปจนถึงการรับหิ้ว
Labubu อาจซ้ำรอย Beanie Babies
ความสำเร็จของลาบูบูได้ส่งผลให้ Wang Ning ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Pop Mart กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 3 ของโลกที่อายุต่ำกว่า 40 ปี โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 243% ภายในปีเดียว ตามข้อมูลของ Bloomberg Billionaires Index Pop Mart และบริษัทมีมูลค่าตลาดสูงถึง 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนตั้งคือ “ความคลั่งไคล้นี้จะยั่งยืนได้นานแค่ไหน?”
นักวิเคราะห์บางคนเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับ ตุ๊กตาขนปุย Beanie Babies ที่เคยโด่งดังในทศวรรษ 1990 ซึ่งราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่ตลาดจะล่มสลาย คริสตอฟ สเปนเจอร์สศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์ ผู้ศึกษาตลาดของสะสมกล่าวว่า อาจจะมีบางชิ้นที่มีมูลค่าอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีค่าในแง่ของมูลค่าตลาดหรือมูลค่าขายต่อ
“กระแสนี้อาจจะจบลงเร็วกว่าด้วยซ้ำ เนื่องจากข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ตที่ไหลเวียนรวดเร็วกว่าในอดีต”
นอกจากนี้ยังมีความกังวลถึงการที่ลาบูบูขาดเรื่องราวหรือโลกทัศน์ที่แข็งแกร่ง ต่างจากแฟรนไชส์อย่างโปเกมอนหรือดิสนีย์ ซึ่งมีภาพยนตร์ รายการทีวี และสินค้าที่หลากหลายสนับสนุน ทำให้ความยั่งยืนในระยะยาวเป็นเรื่องที่ท้าทาย
อนาคตของลาบูบู ยั่งยืนหรือ ‘ฟองสบู่’?
ในตอนนี้ ความคลั่งไคล้ Labubu ยังไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไป เมื่อซีอีโอ Wang ประกาศเปิดตัว Labubu ขนาดเล็กรุ่นใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ราคาหุ้น Pop Mart ก็พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
รวมทั้ง Pop Mart กำลังพยายามขยายตลาดสู่ต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยมีแผนจะเปิดร้านค้าเพิ่มอีก 60 สาขาภายในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่ 140 สาขาในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม สัญญาณบางอย่างเริ่มปรากฏขึ้นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาด มีการรายงานว่า ราคารีเซลล์ลาบูบู้ เริ่มลดลงถึง 50% ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. หลัง Pop Mart ได้เพิ่มอุปทานในช่องทางออนไลน์และร้านค้า และยอดขายของร้านค้าปลีกของเล่นป๊อปบางแห่งก็ลดลงเกือบ 70% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ บริษัทจะยืนยันว่าได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นจากปีก่อนถึง 10 เท่า แต่ก็ปฏิเสธว่าไม่ต้องการให้สินค้าถูกเก็งกำไรและขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง
ถึงแม้จะมีความคล้ายคลึงกับกระแสในอดีต แต่ Labubu ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างออกไป นั่นคือการขับเคลื่อนโดยกระแสโซเชียลมีเดีย, กลไกกล่องสุ่มที่กระตุ้นการซื้อซ้ำ, และการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจในการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก
อย่างไรก็ตาม โจเซฟ เปียโนฟอร์เต วัย 30 ปี ผู้ประมูลลาบูบูหลายร้อยกล่องต่อสัปดาห์ผ่าน eBay Live ก็ยังมองว่าความคลั่งไคล้นี้เป็นเพียงเรื่องสนุกในปัจจุบันมากกว่าการลงทุนระยะยาวที่จะมีมูลค่าสูงในอีก 50 ปีข้างหน้า
ท้ายที่สุดแล้ว ความคลั่งไคล้ในตุ๊กตาขนปุกปุยนี้จะจบลงที่ตรงไหน? คำตอบอาจขึ้นอยู่กับว่า Pop Mart จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และรักษาความน่าสนใจของของเล่นเหล่านี้ไว้ได้นานแค่ไหน และผู้บริโภคจะยังคงมองว่า "มันสนุก" ที่จะไล่ล่าและซื้อขายตุ๊กตาเหล่านี้ต่อไปหรือไม่