“กรุงไทย” ชี้ทางรอดหนี้นอกระบบ 2.2 ล้านล้าน ดัน Virtual Bank ปิดช่องว่างการเงิน
คุณผยง ศรีวนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยผลการศึกษาเชิงลึกฉบับสมบูรณ์ในโครงการ “สำรวจและวิเคราะห์สถานการณ์หนี้นอกระบบไทย” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงไทย และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบข้อมูลน่าตกใจที่ชี้ให้เห็นว่า ขนาดของหนี้นอกระบบในประเทศไทยอาจสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 12.3% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าที่หน่วยงานภาครัฐเคยประเมินไว้มาก พร้อมฉายภาพพฤติกรรมลูกหนี้ที่ซับซ้อน ชี้เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก และเปิดยุทธศาสตร์ธนาคารในการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ Virtual Bank เพื่อเป็นทางออกในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
นิยามใหม่ เขย่าตัวเลขหนี้นอกระบบ
คุณผยงชี้ให้เห็นว่า ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของตัวเลขหนี้นอกระบบ เกิดจาก “นิยาม” ที่ใช้ในการสำรวจ โดยงานวิจัยฉบับนี้ใช้คำนิยามที่กว้างและครอบคลุมธุรกรรมทางการเงินในชีวิตจริงของประชาชนมากกว่า โดยนับรวม "เงินกู้ที่ไม่มีสัญญา เงินหยิบยืม เงินหมุน เงินเชื่อ และธุรกรรมอื่น ๆ ที่ต้องคืนในอนาคต แม้จะไม่มีดอกเบี้ยก็ตาม" ซึ่งต่างจากความเข้าใจของประชาชนทั่วไปที่มักจะนึกถึงเฉพาะ "หนี้ตีหัว" หรือ "หนี้หมวกกันน็อก" ที่มีดอกเบี้ยสูงผิดกฎหมายเท่านั้น
ผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างกว่า 5,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ พบว่า 78% ของครัวเรือนไทยมีหนี้สิน และที่น่าสนใจคือ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้มีหนี้ หรือ 48% มีทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบควบคู่กัน สะท้อนให้เห็นว่าหนี้นอกระบบไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงสถาบันการเงิน แต่ยังเป็นเครื่องมือเสริมสภาพล่องที่ฝังลึกอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยจำนวนมาก
เจาะพฤติกรรม "ทำไมจ่ายหนี้นอกระบบก่อน?"
หนึ่งในข้อค้นพบที่สำคัญที่สุดและเป็นประเด็นที่น่ากังวลสำหรับภาคธนาคารคือ พฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยผลสำรวจชี้ชัดว่า 79% ของลูกหนี้เลือกที่จะชำระหนี้นอกระบบก่อน เมื่อมีเงินจำกัด โดยคุณผยงอธิบายถึงเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมดังกล่าวว่า ไม่ใช่แค่เรื่องวินัยทางการเงิน แต่เป็นเรื่องของการประเมินความเสี่ยงและผลประโยชน์ในมุมมองของลูกหนี้เอง เหตุผลหลักคือ "กลัวไม่มีแหล่งเงินกู้ยามฉบับฉุกเฉินในอนาคต" ลูกหนี้มองว่าหนี้นอกระบบเปรียบเสมือน "ที่พึ่งสุดท้าย" (Last Resort) ที่เข้าถึงง่ายและรวดเร็ว การรักษาความสัมพันธ์และ "เครดิตทางสังคม" กับเจ้าหนี้นอกระบบจึงมีความสำคัญสูงสุด ในทางกลับกัน ลูกหนี้ยอมรับความเสี่ยงที่จะถูกธนาคารฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะมองว่าเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนานกว่า และบางส่วนยังคาดหวังว่าอาจมีมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐหรือสามารถเจรจาลดค่าปรับได้ในภายหลัง ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายในเชิง "ภาวะเสี่ยงทางศีลธรรม" (Moral Hazard) ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ในการประเมินความเสี่ยงของสถาบันการเงินในระบบ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นภาระหนี้นอกระบบที่ซ่อนอยู่ และอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่สูงขึ้นได้
หนี้นอกระบบ: เส้นเลือดหล่อเลี้ยงธุรกิจรายย่อย
ผลการศึกษายังลบภาพจำเดิมๆ ที่ว่าหนี้นอกระบบถูกใช้เพื่อการบริโภคฟุ่มเฟือยเป็นหลัก โดยพบว่าเกือบ 70% ของการกู้หนี้นอกระบบ ถูกนำไปใช้เพื่อการดำเนินธุรกิจ (35%) และการผ่อนชำระยานพาหนะ (33%) ซึ่งส่วนใหญ่นำไปใช้ประกอบอาชีพ
"หนี้ในระบบมักถูกใช้เพื่อการลงทุนระยะยาว เช่น ซื้อบ้านหรือขยายกิจการ ขณะที่หนี้นอกระบบมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาสภาพคล่องระยะสั้น เช่น การจัดซื้อวัตถุดิบ การหมุนเวียนเงินทุน หรือชดเชยการขาดประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ" คุณผยงกล่าว
ประเด็นสำคัญคือนี่คือกลุ่ม "เศรษฐกิจนอกระบบ" (Informal Economy) ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 48% ของ GDP ไทย คนกลุ่มนี้คือผู้ประกอบการรายย่อย แรงงานอิสระ ที่มีศักยภาพ แต่ขาดเอกสารทางการเงิน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ หนี้นอกระบบจึงกลายเป็น "หลังพิง" ที่สำคัญสำหรับคนกลุ่มนี้
"Virtual Bank" ธนาคารกรุงไทย: คำตอบของการเงินเพื่อคนตัวเล็ก
จากความท้าทายดังกล่าว ธนาคารกรุงไทยในฐานะ "ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ" ที่มีภารกิจต้องดูแลสังคมและประชาชนควบคู่กับการแข่งขันทางธุรกิจ ได้วางยุทธศาสตร์เพื่อปิด "ช่องว่างทางการเงิน" (Financial Gap) นี้อย่างเป็นรูปธรรม
คุณผยงกล่าวว่า "ที่ผ่านมาธนาคารได้ผ่านการปรับตัวครั้งใหญ่ใน 3 ระยะสำคัญ ตั้งแต่การบริหารความเสี่ยง, การทำ Digital Transformation ผ่านแพลตฟอร์ม Krungthai NEXT และ ‘เป๋าตัง’ ที่เชื่อมโยงบริการภาครัฐกับประชาชนกว่า 40 ล้านคน จนมาถึงเฟสที่สามคือการขยายสู่ธุรกิจแห่งอนาคต"
หนึ่งในหัวใจสำคัญของเฟสที่สามคือ โครงการ Virtual Bank ซึ่งล่าสุดได้จดทะเบียนจัดตั้งในชื่อ "ธนาคาร คลิกซ์ จำกัด (มหาชน)" ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งที่เกิดจากความร่วมมือของ 3 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย (41%), AIS (39%) และ PTTOR (20%)
"Virtual Bank ไม่ได้เป็นเพียงธนาคารดิจิทัล แต่ตั้งเป้าที่จะเป็น 'Beyond Banking' เราจะใช้จุดแข็งของพันธมิตรทั้ง 3 ราย ทั้งความเชี่ยวชาญด้านการเงินของกรุงไทย, ฐานข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) จากลูกค้า AIS และเครือข่ายค้าปลีกที่กว้างขวางของ PTTOR มาผนวกรวมกัน เพื่อให้บริการทางการเงินที่เข้าถึงง่ายและตอบโจทย์กลุ่มที่เข้าไม่ถึงธนาคาร (Unbanked/Underbanked) ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ" คุณผยงกล่าวทิ้งท้าย
ธนาคารคลิกซ์จะนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาประมวลผลข้อมูลเชิงลึก เพื่อสร้างบริการที่ตรงใจ (Personalized) และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกหนี้นอกระบบที่ต้องการความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น และไม่ต้องใช้เอกสารที่ซับซ้อน ซึ่งถือเป็นการเดินหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่รากฐาน และเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธนาคาร ตามแนวคิด "Do Well by Doing Good" ที่สร้างมูลค่าทางธุรกิจไปพร้อมกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างแท้จริง