DSI ลุยสอบที่ดินเขากระโดง รฟท.ทั้งหมด ไม่เว้น 10 นิติบุคคล-คนทั่วไป
จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งเเวดล้อม ดำเนินการสืบสวนเรื่องข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการครอบครองและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ อันอาจเป็นที่ดินของรัฐและเกี่ยวข้องกับกลุ่มคณะบุคคลหลายฝ่าย เป็นเรื่องสืบสวนที่ 97/2568 พร้อมให้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง การรวบรวมและตรวจสอบพยานหลักฐาน การประสานเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมที่ดิน การรถไฟแห่งประเทศไทย และจังหวัดบุรีรัมย์ ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 12 ส.ค. รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า สำหรับการสืบสวนของดีเอสไอเรื่องที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด 5,083 ไร่ ซึ่งในจำนวนนี้ก็หมายรวมถึงกรณีที่นิติบุคคล และบุคคลรวม 10 ราย ที่ถือครองโฉนดที่ดินในจำนวนนี้ด้วย (670 ไร่) นอกจากนี้ ในพื้นที่พิพาทดังกล่าว ยังมีหน่วยงานราชการจำนวน 12 แห่ง ตั้งอยู่ด้วยในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่เศษ
“ย้อนกลับไปว่าที่ดินทั้งหมดนี้ มีการให้ไว้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อสร้างทางรถไฟ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นจุดที่มีหิน ซึ่งจะต้องทำทางรถไฟเพื่อที่จะได้เข้าไปเอาหินออกมา เพื่อจะได้สร้างทางรถไฟสายอีสานใต้ จึงมีการกันที่เอาไว้ ซึ่งก็มีชาวบ้าน 18 ราย โดยการรถไฟฯ ได้มีการไปซื้อที่จากชาวบ้าน 18 ราย เพื่อให้เป็นที่ของการรถไฟ ประกอบกับที่ท้าย ๆ รวมแล้ว 5,083 ไร่ ก็ให้กันเป็นที่สำหรับการรถไฟ ซึ่งการรถไฟก็ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีบางคนเข้ามาเช่าที่ของการรถไฟ ซึ่งการรถไฟก็ได้ให้เช่าที่ ขณะที่บางรายก็เข้ามายึดถือครอบครองไปเลย สมัยก่อนอาจไม่ได้เรียกว่าเป็นการปล่อยปละละเลย แต่เมื่อการรถไฟได้เข้ามาตรวจสอบดู ก็พบว่าเป็นการตั้งอยู่ในที่ของการรถไฟจริง จึงมีการฟ้องขับไล่รื้อถอน ซึ่งถ้าดูตามที่เป็นข่าว แต่ละรายก็มีการร้องขอออกโฉนด ซึ่งการรถไฟก็ได้มีการออกมาคัดค้าน จึงกลายเป็นคดีความตามที่ปรากฏว่า ทุกคดีการรถไฟชนะทั้งหมด จึงเป็นสาเหตุให้ในปัจจุบันการรถไฟต้องการเอาที่ดินทั้งหมดที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ เอาคืนกลับมา” รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุ
รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้การรถไฟฯ ได้มีการขับไล่รื้อถอนที่ตั้งของชาวบ้านที่มาบุกรุกในพื้นที่ของการรถไฟไปบ้างแล้ว ซึ่งเป็นการบุกรุกโดยไม่มีเอกสารสิทธิ ขณะที่ในส่วนของคนที่แพ้คดีการรถไฟไปแล้วตามคำสั่งศาล จำนวนรวม 41 ราย (35 ราย + 4 ราย + 2 ราย) ก็ต้องมีการใช้อำนาจบังคับคดีปิดหมายไปตามกฎหมาย และเสียค่าเสียหายให้แก่การรถไฟด้วย อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยในตอนนี้ ก็มีบางกลุ่มที่ยังคงมีเอกสารสิทธิ ก็ต้องย้ำว่า ตราบใดที่บุคคลยังมีเอกสารสิทธิ พวกเขาก็ยังอยู่ใช้ประโยชน์ได้ตามกฎหมาย ตราบใดที่ยังไม่มีการเพิกถอนโฉนด
สำหรับหน่วยงานรัฐ จำนวน 12 แห่ง ในพื้นที่พิพาทบริเวณเขากระโดง ประกอบด้วย 1.อบต.เสม็ด (ทางสาธารณประโยชน์ 5 สาย, ทำเลเลี้ยงสัตว์โคกใหญ่, วัดป่าศิลาทอง) 2.กรมทางหลวง (แขวงการทางบุรีรัมย์, หมวดทางหลวงบุรีรัมย์, ทางหลวง 2445, 226 โรงเรียนภัทรบพิตร) 3.ธนารักษ์พื้นที่บุรีรัมย์ (ที่ทำการ อบจ.บุรีรัมย์-อบจ.บุรีรัมย์, โรงเรียนบ้านเสม็ดโคกตาล, เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์-ราชทัณฑ์ จ.บุรีรัมย์, คลองชลประทาน-ชลประทาน จ.บุรีรัมย์) 4.เทศบาลตำบลอิสาณ (ทางสาธารณประโยชน์ 9 สาย, ห้วยสาธารณประโยชน์ 2 แห่ง, ที่สาธารณประโยชน์, ห้วยจรเข้มาก) 5.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.บุรีรัมย์ (วัดไทยเจริญ) 6.อำเภอเมืองบุรีรัมย์ (ที่สาธารณประโยชน์) 7.สถานีตำรวจทางหลวง 2 (กองกำกับการ 6 บุรีรัมย์) 8.สำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ 9.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จ.บุรีรัมย์ 10.การประปาส่วนภูมิภาค จ.บุรีรัมย์ (วางท่อประปา 5 จุด) 11.องค์การโทรศัพท์ (NT) (ปักเสาพาดสาย, ดันท่อรอดร้อยสาย) และ 12.เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ (ถนนเลียบทางรถไฟ) อย่างไรก็ตาม ส่วนเหตุผลที่ 12 หน่วยงานของราชการอยู่ในพื้นที่พิพาทได้นั้น คาดว่าอาจเป็นที่ดินราชพัสดุ ซึ่งดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานภายในกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ในพื้นที่พิพาทบริเวณที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 7,600 ราย โดยมี 7 หมู่บ้าน 4,700 ครัวเรือน ทั้งนี้ หากมองตัวเลข 5,083 ไร่ จะประกอบด้วย โฉนดที่ดิน 484 แปลง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ 511 แปลง รวม 995 แปลง.