จากแม่ถึงแม่ : พูดคุยกับ ‘แวว–สายสุนีย์ จ๊ะนะ’ นักกีฬาพาราลิมปิก อีกพาร์ทของชีวิตในบทบาทของ ‘ลูกสาว’ และ ‘คุณแม่’
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘แม่’ หลาย ๆ คนอาจจะมีคำนิยาม ภาพทรงจำ หรือเหตุการณ์เกี่ยวกับแม่ที่แตกต่างกันออกไป สำหรับคนที่ ‘เป็นลูก’ ก็อาจจะนึกถึง ‘แม่’ ผ่านมุมมองของตน และสำหรับคนที่ ‘มีลูก’ ก็อาจจะออกแบบชีวิตความเป็น ‘แม่’ ในแบบฉบับของตัวเองเช่นกัน ในโอกาสวันแม่ 12 สิงหาคมนี้ LINE TODAY พาทุกท่านไปพูดคุยกับ ‘คุณแวว สายสุนีย์ จ๊ะนะ’ ที่นอกจากจะเป็นนักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบเจ้าของ 3 เหรียญทองพาราลิมปิก ปี 2024 แล้ว ในอีกพาร์ทหนึ่งของชีวิต คุณแววยังเป็น ‘ลูกสาว’ และเป็น ‘คุณแม่’ อีกด้วย
สำหรับคุณแวว แม่คือ ‘ผู้ให้’
นิยามความหมายของคำว่า ‘แม่’ ในแบบของเราคือ ‘แม่เป็นผู้ให้’ เพราะภาพที่เราเห็นตั้งแต่จำความได้ คือแม่ลำบากมาก เราเกิดในครอบครัวฐานะยากจน แม่เลยต้องทำงานหนัก บางทีเลยเที่ยงแล้วแม่ยังไม่ได้ทานข้าว ก็เลยมองว่าเขาเป็น ‘ผู้ให้’ มาโดยตลอด และเราก็บอกกับตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ ว่า เราจะไม่ดื้อ ถ้ามีโอกาสก็จะดูแลเขา บางครั้งก็จะแบ่งเบาภาระเวลาเขาทำงาน
เจ็บปวดหรือเหนื่อยแค่ไหนก็ทนได้–เหตุการณ์เกี่ยวกับแม่ที่คุณแววประทับใจเป็นพิเศษ
เหตุการณ์แรกคือตอนที่แม่คลอดเรา เราไม่ได้คลอดที่โรงพยาบาล เราคลอดที่บ้านกับหมอตำแยเพราะไม่มีรถไปส่ง เหตุการณ์นั้นทำให้เรารู้ว่า ถึงแม่เจ็บปวดแค่ไหนก็ทนได้ เหตุการณ์ที่สองคือช่วงที่แม่มีน้องอีกคน แม่ต้องดูแลน้อง และต้องหารายได้ไปด้วย ตอนที่เราไม่ได้ไปเรียนหนังสือ จะเห็นภาพที่แม่เอาน้องนอน เสร็จแล้วก็ไปทำงาน แล้วก็รีบกลับมาให้นม คือไม่ว่าแม่จะเหนื่อยแค่ไหนลูกก็จะต้องกินนม เลยประทับใจว่าแม้จะเหนื่อย แต่แม่ก็จะเห็นลูกเป็นที่ตั้งเสมอ สิ่งนี้แหละที่ติดตัวเรามาจนถึงตอนนี้
เหตุการณ์เหล่านั้นสร้างแรงบันดาลใจให้คุณแววในฐานะ ‘แม่’
ตอนที่เราท้อง เราลำบากเพราะพิการ ท้องใหญ่ หายใจไม่ออก นอนเองไม่ได้ พอคลอดลูกมาแล้วก็ไม่มีน้ำนม ต้องบีบนมไปด้วยให้ลูกดื่มนมไปด้วย ทำให้เจ็บหัวนมมาก แต่เราก็จะนึกถึงภาพตอนที่แม่ทนเราได้ เหนื่อยเพื่อเราได้ เราจึงผ่านมันมาได้ค่ะ นอกจากนี้เหตุการณ์เกี่ยวแม่ยังสะท้อนให้เห็นว่า ‘ความเป็นแม่’ มัน ‘หนัก’ ตั้งแต่ตอนที่ท้อง จนกระทั่งคลอด และต้องเลี้ยงเด็กคนหนึ่งตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ จนกระทั่งเขาโตขึ้น ตัวของเราเองก็ต้องแบ่งเวลาระหว่างการเล่นกีฬาและการดูแลลูก ต้องเจอคำถามว่าต้องทำอย่างไรให้เขาเป็นเด็กดี เรียกได้ว่าเราเจอมาหลายอย่างมาก ๆ
พลังความรักของ ‘แม่’ คือแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นสู้หลังจากเหตุการณ์อุบัติเหตุ
แรกเริ่ม เราลำบากอยู่แล้วด้วยความยากจน เราผลักดันตัวเองจนกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่สุดท้ายด้วยชะตากรรม เราก็ประสบอุบัติเหตุรถชน ด้วยความที่แม่เราไม่ได้ทำงาน ภาระเลยไปหนักที่พ่อ พ่อต้องเป็นคนหาเงิน ส่วนแม่ต้องเฝ้าเรา ดูแลเรา สวนถ่าย สวนฉี่เรา เรียกได้ว่าแม่ทำทุกอย่างนับแต่นั้น แล้ววันหนึ่งเราก็รับไม่ได้ เราคิดว่า “เราไม่ควรมีชีวิตอยู่เลย” สุดท้ายเราก็ตัดสินใจทำร้ายตัวเอง ด้วยความโชคดีมาก ๆ ที่แม่อยู่เคียงข้างเราตลอด แม่มาช่วยเราได้ทัน ก่อนที่เราจะตัดสินใจกระโดดตึกลงมา แม่ตีเรา แม่หยิก ผลัก ตบ แต่ไม่ได้ทำเพราะโกรธ แม่ทำเพื่อให้เรามีสติ ทำไปร้องไห้ไปด้วย นั่นเป็นภาพที่ทำให้เรากลับมาย้อนคิดว่า “เราทำให้เขาทุกข์ขนาดนี้เลยเหรอ เราคิดผิดนี่เองที่คิดว่าถ้าเราตายไปแล้วเขาจะสบาย จริง ๆ แล้วเขาทุกข์ต่างหาก” เหตุการณ์นี้เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรามีกำลังใจในการต่อสู้กับความพิการของตัวเอง เราจะต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองกายภาพผ่าน ทำยังไงก็ได้ให้ฝึกใส่กางเกงเอง สวนถ่ายเอง ทำทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระแม่ สุดท้ายเราก็สามารถดูแลตัวเอง ผลักดันตัวเองให้มาเล่นกีฬา และผ่านพ้นอุปสรรคมาได้ด้วยความแข็งแกร่ง
ฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิต ด้วย ‘พลังความรักจากแม่’
ส่วนตัวของเราเอง มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ พลังของแม่และพ่อ เขาเรียกว่า ‘พลังแห่งครอบครัว’ แล้วพลังของแม่ก็ยิ่งใหญ่จริง ๆ เพราะแม่อยู่เคียงข้างเราตลอดไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ตาม ตอนเด็ก ๆ เราไม่รู้เลยว่า ทำไมแม่ถึงตีเรา แต่พอโตขึ้นเราจึงรู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เกลียดเราหรอก แต่เขาอยากให้เราเข้มแข็ง และกลายเป็นคนดี สุดท้ายผลนั้นมันกลับมาทำให้ชีวิตเราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายมาได้ด้วยความแข็งแกร่งที่แม่สอนเรามา ทำคนชื่อแววคนนี้ผ่านมันมาได้
ความรู้สึกแรกตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นแม่
ดีใจค่ะ ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบมีแต่ให้ คิดเสมอว่า “ฉันจะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้พ่อแม่ไม่ลำบาก” หรือ “ทำอย่างไรก็ได้ให้น้องเรียนจบปริญญาตรี” นอกจากนี้เรายังพิการตัวเอง แล้วต้องมาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว เราต้องหาเงิน ต้องเล่นกีฬา ไหนจะค่าหนี้สิน ค่าจิปาถะ มันเลยมีจุดเหนื่อย จุดล้า เราเลยรู้สึกว่า ‘อยากมีใครสักคนเป็นของตัวเอง’ ก็เลยอยากมีลูก แต่ไม่มีจังหวะเลยค่ะ ก็เล่นกีฬาไปจนสุดท้ายเรารู้สึกว่าเราพอแล้ว เราให้ทุกอย่าง ทำทุกอย่างที่ฝันไว้แล้ว เลยตัดสินใจมีครอบครัว
แต่การเป็นแม่ต้องแลกมากับอะไรหลายอย่าง…
ตอนนั้นเราอายุเยอะมากจริงๆ เราอายุ 40 แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการอายุเยอะจะทำให้เรามีลูกไม่ได้ ตอนรู้ว่ามีลูก เรากับแฟนดีใจทั้งคู่ คิดในใจว่าหมอต้องดีใจแน่ ๆ หมอต้องแสดงความยินดีกับเรา ต้องพูดว่า “ยินดีด้วยนะ เนี่ย ขนาดนั่งรถเข็นแล้วยังมีลูกอยู่” อะไรอย่างนี้ แต่ผิดเลยค่ะ พอหมอเห็นผลตรวจว่าเราท้อง หมอบอกว่า “ทำไมปล่อยให้ตัวเองท้อง อายุ 40 แล้ว เดินก็ไม่ดี จะต้องมีภาวะหลายอย่างเลย” แล้วหมอก็บอกต่ออีกว่า “หมอสามารถยุติการตั้งครรภ์ให้คุณได้นะ” คือเราเข้าใจในมุมของหมอนะ แต่เราไม่อยากรับฟังเลย ตอนนั้นเราตอบไปไวมากว่า “ไม่ค่ะ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เป็นไรค่ะ จะมีเขา” เราตอบเร็วมากโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘อารมณ์ของแม่’ หรือเปล่า สุดท้ายเราก็ฝ่าฟันอุปสรรคมาถึงเดือนที่ 7 ตอนนั้นเราร้องไห้ไปด้วยค่ะ เพราะว่าหายใจไม่ออก ลองนึกดูว่าคนพิการครรภ์ใหญ่ ๆ ที่นั่งรถเข็น ไม่ได้เดิน เวลานอนจะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเด็กมาทับหัวใจเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราไม่เคยนอนราบเลยตอน 2 เดือนสุดท้าย และไม่สามารถสัมผัสได้ว่าน้องดิ้นอยู่ไหม แข็งแรงอยู่หรือเปล่า ต่างจากคนทั่วไปที่จะรู้ว่าน้องดิ้นกี่ครั้ง อย่างแรกเลยเรากดดันด้วยความเครียด กลัวว่าน้องจะเป็นอะไรไป อย่างที่สองคือความลำบากด้วยความพิการของเรา ไหนจะอาบน้ำ ไหนจะระบบขับถ่าย ทุกอย่างมันรวนไปหมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราอยากเห็นเขาออกมาสมบูรณ์ ไม่มีภาวะอะไร จึงยอมแลกหลาย ๆ อย่างและผ่านมาได้ด้วยความเชื่อมั่น ด้วยหัวใจที่อยากมีเขา
ดูแลตัวเอง กลัวตาย และคิดถึง–ชีวิตที่เปลี่ยนไปเมื่อกลายเป็นแม่
สิ่งที่เปลี่ยนอย่างแรกเลยคือเรากลับมา ‘ดูแลตัวเอง’ สมัยก่อนถ้าเรามีอะไรก็จะฝากน้องหมดเลย เช่น ซื้อที่ดิน เราคิดไว้ตลอดว่าสักวันหนึ่งเดี๋ยวก็ตายแล้ว ไม่เป็นไรหรอก คือถ้าสมมติไม่สบายจริง ๆ ถ้าจะตายก็ตายไปเลย จะตายตอนไหนก็ช่าง แล้วแต่เวรแต่กรรม เราเต็มที่แล้ว แต่พอมีลูก โมเมนต์แรกคือ ‘กลัวตาย’ เราจะตายไม่ได้ เขายังเล็กอยู่เลยนะ เราต้องเข้มแข็ง เราต้องหาวิตามินมาทาน เราจะตื่นสายไม่ได้เดี๋ยวระบบฉี่เรารวนแล้วจะติดเชื้ออีก กลายเป็นว่าตอนมีลูกแล้วเราแทบไม่เป็นอะไรเลย เพราะเราดูแลตัวเองอย่างดี สิ่งที่เปลี่ยนอย่างที่สองคือแต่ก่อนเราตัวคนเดียว จะไปไหนก็ได้ แต่ตอนนี้เราจะ ‘คิดถึงลูก’ ซึ่งจะแตกต่างจากความรู้สึกแบบชู้สาว ความคิดถึงลูกมันคือความห่วงใย คือความอบอุ่นใจ คือทุกสิ่ง
เหตุการณ์เกี่ยวกับลูกที่คุณแววประทับใจ
ก่อนที่ลูกจะนอน เราจะหอมแก้มลูก แล้วบอกว่า “แม่รักหนูนะคะ” ลูกก็จะตอบกลับมาว่า “หนูก็รักแม่ค่ะ” คือไม่มีคืนไหนที่ลืมบอกรักลูกเลย จังหวะที่เราบอกรักแล้วเขาบอกรักกลับ หรือตอนที่เรากอดเขาแล้วเขากอดกลับ มันอบอุ่นใจ มันเป็นความสุขของเรา เราไม่ต้องการอะไรเลย เราต้องการแค่นี้เอง สิ่งที่ประทับใจเกี่ยวกับลูกอีกอย่างคือน้องเป็นอย่างที่เราต้องการ เป็นเด็กน่ารัก พูดเพราะ ไปที่ไหนมีแต่คนรัก มันเลยทำให้เรามีความสุข ไม่ทุกข์ แม่เคยเล่าให้ฟังว่าถ้ามีลูกดี เลี้ยงลูกดี มันก็คือความสุขที่สุดของแม่แล้ว จะเป็นอะไรไปก็ตายตาหลับ เพราะเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างที่เราสอน
แบ่งเวลาอย่างไร เมื่อต้องเป็นทั้ง ‘นักกีฬา’ และ ‘แม่’ ในเวลาเดียวกัน
เราต้องหาผู้ช่วย เราเตรียมพร้อมทุกอย่างก่อนจะมีเขาแล้ว เราวางตัวน้องสาวให้มาดูแลลูกให้ แม่เองก็มาช่วยดูด้วย ทุกคนในครอบครัวของเรามาอยู่กรุงเทพ แล้วเราก็คอยซัพพอร์ตเรื่องเงิน ส่วนเรื่องซ้อม ปกติเราซ้อมที่ที่สุพรรณบุรี จันทร์ - เสาร์ แต่เราขอทางสมาคมว่า เราจะไม่ซ้อมวันเสาร์ เรามั่นใจว่าจะดูแลตัวเองและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ก็ขอแบ่งเวลาไปทำหน้าที่แม่ด้วย ศุกร์เย็นซ้อมเสร็จตอน 5 โมง กลับมาถึงบ้าน 2 ทุ่ม เราก็จะนอนกับเขา ตื่นเช้ามาดูแลเขา พอจันทร์เช้าเราก็ตื่นแต่เช้า ทำผมให้เขาเสร็จก็ขับรถมาที่สุพรรณ เป็นแบบนี้มา 5 ปีแล้ว เชื่อไหมคะว่า ชีวิตเราไม่เคยตื่นสายเลยตั้งแต่มีลูก (หัวเราะ) ไม่เคยตื่นเกิน 7 โมงเลย ตรงนี้ภาพของแม่เราก็จะทับซ้อนเข้ามา ทำให้เพิ่งเข้าใจว่าทำไมตอนเด็กแม่ตื่นแต่เช้ามานึ่งข้าว แล้วก็ไป เราเข้าใจความเป็นแม่ ณ ตอนนั้นเอง
‘แม่เล่าให้ลูก ลูกเล่าให้แม่’ แนวทางการเลี้ยงลูกในแบบฉบับของคุณแวว
แนวทางการเลี้ยงลูกของเราคือ เราจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก เราจะสอนลูกตั้งแต่อนุบาลว่า ‘เล่าให้เราฟัง’ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี ไม่ต้องกลัว แม่ไม่ดุแน่นอน จนถึงตอนนี้ลูกก็ยังเล่าให้เราฟังทุกอย่าง ไม่ปิดบัง ส่วนเราก็จะเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟังเหมือนกัน แล้วเขาก็จะวิเคราะห์ในสิ่งที่เราเล่า เหมือนกับเราเลี้ยงลูกแบบ ‘เพื่อน’ และถือหลักที่ว่า “แม่มีอะไรแม่เล่าให้ฟัง เหมือนกับที่ลูกมีอะไรก็เล่าให้แม่ฟัง”
การต่อสู้ในฐานะนักกีฬา คือความภูมิใจในฐานะ ‘ลูก’ และ ‘แม่’
เรารู้สึกภูมิใจที่เราทำให้แม่มีความสุขได้ เราเพิ่งเสียพ่อไป เลยรู้ว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนวัยชราเขาจะไปจากเราตอนไหน แค่เขาดูทีวี แล้วก็ยิ้ม กลับไปบ้านนอกแล้วพูดถึงเรา เราก็ดีใจ อีกอย่างคือภูมิใจที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก อย่างตอนที่ลูกไปโรงเรียน เขาก็จะเจอเพื่อนที่บอกว่า “นี่เธอ เอาลายเซ็นคุณแม่มาให้หน่อยนะ” ลูกก็จะยิ้ม กลับมาถึงบ้านก็จะเอาสมุดมาให้เราเซ็น แล้วบอกว่าเพื่อนหนูหลายคนชอบแม่มาก ทำให้เราภูมิใจที่ได้เป็นลูกที่ดีของแม่ ได้เป็นแม่ที่ดีของลูก และเป็นบุญที่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม
อยากฝากอะไรถึงลูกสาว
จะฝากว่า แม่รักลูกนะ แม่ไม่ต้องการอะไรเลย แค่ให้หนูตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี เป็นที่รักของทุกคน และที่สำคัญที่สุดคือดูแลสุขภาพ ระมัดระวังทุก ๆ ด้าน รักและเป็นห่วงเสมอ รักลูกที่สุดในโลกเลย
อยากฝากอะไรถึงคุณแม่
รักแม่เสมอ อยากให้แม่ไม่เครียด ไม่น้อยใจลูก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำก็ทำเพื่อให้แม่มีความสุข ไม่ทุกข์ การไม่ทุกข์ทำให้เขาอยู่กับเรานาน อยู่นานถึงร้อยปี อยากให้มีความสุขในทุก ๆ วัน ไม่ต้องเครียดอะไร มีหน้าที่ดูแลหลาน มีหน้าที่รอรับลูก มีหน้าที่ทำให้ตัวเองมีความสุข อยากได้อะไรบอก พร้อมให้เสมอ
จากแม่ถึงแม่–ข้อความจากคุณแวว แด่แม่ทุกคน
ตอนที่อุ้มท้อง แค่ทำให้ตัวเองสุขภาพจิตดี สุขภาพร่างกายดี เขาจะเกิดมาสมบูรณ์ พอเขาเกิดมาแล้ว ให้มองว่าเมื่อมีเขาแล้ว เราจะทำอะไรเพื่อเขาได้ ไม่ต้องคิดว่าโตมาแล้วเขาจะตอบแทนเรา ดูแลเรา มองแค่ว่าขอแค่มีเขาเป็นกำลังใจ ให้เราอบอุ่นใจ เหมือนที่แววเป็นก็พอ
Author : ปุณยนุช มงคลฉายา