สรุปงบ Q2/68 หุ้นสายการบิน "THAI-BA-AAV" เจาะเกมครึ่งปีหลังใครรุ่ง-ร่วง ?
ธุรกิจสายการบินในประเทศไทยกลับมาร้อนแรงท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดสวนทางจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่เพิ่มขึ้น แต่ละสายการบินจึงต้องเร่งปรับกลยุทธ์ ต้นทุน บริการ และเครือข่ายเส้นทางบิน เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด
3 หุ้นเด่น อย่าง "บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI", "บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA" และ "บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV" ต่างมีจุดแข็งและโอกาสเติบโตที่แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็นแผนเพิ่มฝูงบิน การรุกตลาดต่างประเทศ หรือขยายเส้นทางบินสู่เมืองท่องเที่ยวใหม่ๆ ทั้งหมดนี้กำลังสร้างคำถามสำคัญให้กับนักลงทุน ใครจะทะยานสูงสุดบนเส้นทาง ?
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า "บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI" รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/68 ที่ 1.212 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,860% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน (YoY) และ เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จาก 306 ล้านบาทในไตรมาส 2/67 เป็นผลมาจากรายการพิเศษและผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น รายการพิเศษประกอบด้วยกำไร 4.98 พันล้านบาทจากการแปลงสัญญาเช่าซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER จำนวน 4 ลำ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.19 พันล้านบาท และขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ 746 ล้านบาท
หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรหลักอยู่ที่ 6.78 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 465% YoY และลดลง 34% QoQ กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งในส่วนของเชื้อเพลิงและส่วนที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงที่ลดลง และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างมาก การลดลง QoQ เป็นผลมาจากฤดูกาล
โดยรวมแล้ว THAI ได้แลกอัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร (PX yield) กับ Load Factor ที่สูงขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด เนื่องจากสายการบินเริ่มเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร
รายได้หลักเพิ่มขึ้น 1% YoY และลดลง 14% QoQ ได้รับแรงหนุนจากรายได้จากการขนส่งสินค้าและรายได้หลัก และธุรกิจอื่นๆ เช่น บริการภาคพื้นดิน บริการจัดเลี้ยง และบริการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) รายได้จากผู้โดยสาร (PX) ทรงตัว YoY เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวน PX ถูกหักล้างด้วยอัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสารที่ลดลง
แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยจะชะลอตัวลง 12% YoY แต่จำนวนผู้โดยสารของ THAI กลับเพิ่มขึ้น 4.2% YoY โดยมาจากทุกเส้นทางบิน ยกเว้นเส้นทางบินภายในประเทศ โดยปริมาณผู้โดยสารที่สายการบินขนส่ง (RPK) เพิ่มขึ้น 15.6%
เนื่องจาก THAI กลับมาให้บริการเที่ยวบินในยุโรปบางส่วน และเพิ่มความถี่ในเส้นทางบินในภูมิภาค PX Yield อยู่ที่ 2.6 บาท (-13% YoY) โดยเส้นทางบินภายในประเทศและระหว่างประเทศลดลง 9.9% และ 13.8% ตามลำดับ จากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ส่วนของอัตราการใช้ประโยชน์ ฝูงบินยังคงอยู่ที่ 78 ลำ ขณะที่อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เพิ่มขึ้นจาก 73.2% ในไตรมาส 2/67 เป็น 77% ในไตรมาส 2/68 จากเครือข่ายเส้นทางบินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการจัดตั้งพันธมิตรเที่ยวบินร่วม THAI มีรายได้ต่อหน่วยจากการผลิตด้านผู้โดยสาร (RASK) ที่ 2.1 บาท
ต้นทุนต่อที่นั่งกิโลเมตรว่าง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพทางการเงินของสายการบิน (CASK) ที่ 1.7 บาท และอัตรากำไรต่อหน่วยรวมอยู่ที่ 0.34 บาท เพิ่มขึ้น 78% YoY ส่วนใหญ่มาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง นอกจากนี้ CASK ไม่รวมน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 0.13 บาท จากต้นทุนการบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายลูกเรือที่ลดลง
แนวโน้มไตรมาส 3/68 กำไรในไตรมาส 3 หุ้น THAI น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว การบินไทยน่าจะยังคงได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่ลดลง พร้อมกับการควบคุมโครงสร้างต้นทุนผันแปรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสารน่าจะอ่อนตัวลงบ้างจากการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่ถูกชดเชยด้วยจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นของการบินไทยจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 10.40 บาท
BA เข้าไฮซีซั่นครึ่งปีหลัง
บล.ฟิลลิป แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 18.60 บาท "บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA" กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ทำได้ 402 ล้านบาท ลดลง 43.6% จากปีก่อน ต่ำกว่าคาด 7.3% จากภาษีจ่ายและขาดทุน Fx ผู้โดยสาร ลดลง 3% จากปีก่อนที่ 0.92 ล้านคน จากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยว แม้เส้นทางสมุยยังโตรายได้ต่อตั๋วที่ 3,895 บาท ลดลง 2.6% แต่ต่ำกว่าคาด 3.6% รายได้สายการบิน ลดลง 4.9%
แต่ธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพิ่มขึ้น 10.2% รายได้ธุรกิจ ลดลง 0.9% ที่ 5,127 ล้านบาท ต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.9% แม้ต้นทุนน้ำมันลดลงตามราคาน้ำมัน แต่ต้นทุนเช่าเครื่องบินและค่าลูกเรือเพิ่มขึ้นตามเที่ยวบิน มีรับปันผล 306 ล้านบาท
หลักมาจาก BDMS จ่ายปันผลเพิ่ม และภาษีจ่ายมากกว่าคาด 95% ซึ่งเป็นรายการหลักที่ทำให้กำไรต่ำคาด 498 ล้านบาท ต่ำคาด 3.7% และลดลง 27.7%จากปีก่อน เงินบาทแข็งค่าขึ้นมีขาดทุน Fx ที่ 115 ล้านบาท มากกว่าที่คาด 106 ล้านบาท และเทียบปีก่อนที่มีกำไร 30 ล้านบาท กดดันให้กำไรสุทธิลดลงมากขึ้น
แนวโน้มครึ่งหลังปี 68 ปกติเป็นช่วงไฮซีซั่นเกาะสมุยในไตรมาส 3 และไฮซีซั่นการท่องเที่ยวปลายปีในไตรมาส 4 ผู้โดยสารสูงกว่าไตรมาส 2 แต่ต่ำกว่าไตรมาส 1 ที่เป็น high season สุดอีกทั้งในไตรมาส 4 มักมีค่าใช้จ่ายปลายปีสูงขึ้น
กำไรในช่วงครึ่งหลังปี68 จะอ่อนลงจากครึ่งปีแรกตามค่าใช้จ่าย และตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ยังหดตัวฉุดเส้นทางอื่น แม้สมุยยังโตได้ มีแนวโน้มที่รายได้และกำไรจะลดลงจากปีก่อน ฝ่ายวิเคราะห์คงคาดกำไรปกติปีนี้ที่ 3,345 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งแรกปี68 คิดเป็น 64% และคาดจ่ายปันผล ครึ่งปีหลังที่ 0.50 บาท
AAV ผลประกอบการเสี่ยงขาดทุนสูง
บล.กรุงศรี ระบุว่า "บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV" ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวในปี 2568 โดยตรงเพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ลดลง (จีน อาเซียน และเอเชียตะวันออก) เป็นลูกค้าหลักของ AAV
แนวโน้มไตรมาส 3/68 มีผลประกอบการปกติขาดทุนต่อเนื่องใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า ขาดทุน 800-900 ล้านบาท เนื่องจากยังเป็น Low season ธุรกิจการบิน สอดคล้องกับที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดก่อนหน้านี้
AAV ปรับกลยุทธ์บริหาร Capacity ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลดเป้าหมายฝูงบิน ณ สิ้นปี 2568 ลงเหลือ 62 ลำ จากเดิม 64 ลำ และพยายามใช้จุดแข็งส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูง (40%) ต่อยอดผู้โดยสารประเภท Fly-through มากขึ้น
ผู้บริหาร AAV มองมาตรการสนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากประเทศจีนของรัฐบาลเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น (มาตรการชั่วคราว) สิ่งสำคัญคือต้องแก้ปัญหาภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยถึงจะฟื้นอุตฯ ท่องเที่ยวไทยในระยะยาวได้
"เรายังคงคำแนะนำ Reduce และราคาเป้าหมาย 1.02 บาท มองผลประกอบการ AAV มีความเสี่ยง(ขาดทุน)สูงในสถานการณ์ธุรกิจการบินในปัจจุบัน และขณะนี้เรายังไม่เห็นสัญญานการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของผลประกอบการ AAV"
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น THAI ณ เวลา 14.39 น. วันที่ 15 ส.ค.68 อยู่ที่ 16.20 บาท ลดลง 1.60 บาท คิดเป็น -8.99% มูลค่าการซื้อขาย 4,109.38 ล้านบาท
หุ้น BA อยู่ที่ 14.50 บาท ลดลง 0.20 บาท คิดเป็น -1.36% มูลค่าการซื้อขาย 61.80 ล้านบาท
หุ้นAAV อยู่ที่ 1.24 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 44.61 ล้านบาท