เปิดใจ! ‘มูลนิธิกระจกเงา’ ชี้คดีน้องชมพู่ สะท้อนการทำงาน ตำรวจยุคใหม่
กรณี ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาในคดี “น้องชมพู่” โดยให้จำคุก นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล เป็นเวลา 26 ปี ส่วน น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ให้ยกฟ้อง โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายไชย์พล ไปยังเรือนจำจังหวัดมุกดาหาร เนื่องจากศาลฎีกาอยู่ระหว่างพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
ราชทัณฑ์เผย ‘ลุงพล’ นอนคุกคืนแรก ปรับตัวได้ คุยจ้อเพื่อนร่วมห้องขัง
เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ทีมข่าวอาชญากรรม สอบถามนายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งมีส่วนร่วมลงพื้นที่ตามหาน้องชมพู่ตั้งแต่ต้น ระบุ ต้องชื่นชมตำรวจที่คลี่คลายคดี เหตุการณ์นี้สะท้อนปรากฏการณ์หลายอย่าง เช่น การแสวงหาพยานหลักฐานในคดีนี้ทำอย่างเข้มข้น เนื่องจากเป็นข่าวใหญ่ แต่ในขณะที่มีกรณีเด็กหายอีกจำนวนมากที่ยังไม่พบตัว ดังนั้น เชื่อว่าหากตำรวจทำคดีในแบบเดียวกับคดีน้องชมพู่ที่มีการลงทุนลงแรงสืบหา เชื่อว่าไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายเอกลักษณ์ มีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับน้องชมพู่ หัวข้อ “บางปรากฏการณ์คดีน้องชมพู่” ไว้ 10 ข้อน่าสนใจ ดังนี้
1.ยุคสมัยเปลี่ยนไป แหล่งข่าวความคืบหน้าไม่ใช่มาจากตำรวจ แต่เป็นนักข่าวหรืออินฟลูฯ ทำงานสืบสวน เจาะประเด็นหาคำตอบเอง
2.งานสืบของนักข่าวเพื่อหาความจริง หรือข้อมูลเพิ่มโดยไม่จำกัดวิธีการ ในขณะมุมตำรวจต้องหาพยานหลักฐานที่ต้องชอบด้วยกฎหมายเป็นหลัก
3.การสืบสวนของสื่อและอินฟลูฯ มีทั้งด้านบวกและไม่บวก หลายคดีก็ก้าวหน้า คืบหน้ากว่าตำรวจมาก ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านมากกว่า แต่บางมุมก็ชี้นำและพิพากษา ให้ผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่แก้ต่างผ่านสื่อเอง
4.ในความที่ต้องมีประเด็นสื่อสาร อัปเดตนำเสนอ จึงเข้าสู่การสืบเรื่องส่วนตัว สืบด้วยหมอดู สืบด้วยไสยศาสตร์ หรือเอาคำพูดใครก็ได้มาเป็นประเด็น ให้ผู้ถูกกล่าวถึงแก้ต่างโต้
5.ในคดีอาชญากรรมใหญ่ๆ ตำรวจก็ต้องปล่อยม้า ส่งมือดีจากทุกหน่วยลงพื้นที่ อยู่ที่ว่าใครจะเข้าวินก่อนกัน ความเป็นเอกภาพจึงยาก เพราะทุกหน่วยมีของ และอยากบิงโก
6.ในคดีใหญ่ที่มีคนแถลงหลายคน ทิศทางข่าวอยู่ที่ว่าใครแถลง และถูกจี้แค่ไหน กระทั่งหากให้ข้อมูลคลุมเครือ การตีความก็ต่างออกไป ในคดีที่บ้านกกกอก ผลของการชันสูตรศพ ยังสื่อสารไม่ตรงกัน ซึ่งเป็นสาระสำคัญ
7.ต้องมีหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย จนพิสูจน์ให้เชื่อว่ากระทำผิด แต่ในโลกสืบสวน อาจเริ่มต้นจากหลักฐานที่ไม่ชอบ แต่เป็นหลักฐานที่ทำเชื่อ และต้องหาหลักฐานที่ชอบเพิ่มน้ำหนัก
8.คดีนี้เป็นคดีดัง สังคมจึงรอจนจบกระบวนการ หลายคดีที่ไม่ดัง หรืออดีตเคยดัง แต่คนลืมไปแล้ว บางคดีก็ยกฟ้องผู้ต้องหาภายหลัง เคยได้ยินมั้ยครับ ฟ้องๆ ไปก่อน ให้ศาลตัดสินเอง จึงไม่ยุติธรรมทั้งกับผู้เสียหายและผู้ต้องหา เรียกว่าทำๆ ให้จบไป
9.คดีนี้ตั้งแต่วันที่เด็กหายไป สารวัตรใหญ่ สภ.กกตูม เจ้าของพื้นที่ โทรมาคุยกับกระจกเงา เพื่อขอทราบแผนประทุษกรรมเกี่ยวกับเด็กหาย เพื่อเป็นแนวทางค้นหาเด็ก ซึ่งน่าชื่นชม
10.หลายคดีเด็กหาย ยังหาตัวเด็กไม่พบ แม้คดีเหล่านั้นจะเคยเป็นคดีดังตอนเกิดเหตุ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันคือไฟไหม้ฟาง ที่พอเรื่องเงียบทุกอย่างจบลง