อัยการดาว จ่อร้องสอบ ‘บัญชีม้า’ แก๊งคอลฯหลอกแม่สูญ 7 แสน หลุดฝากขังปล่อยตัวไปเเล้ว
อัยการดาวเผย ทราบข่าว “อัญชลี” บัญชีม้า คดีโรแมนซ์สแกมหลอกเงินเเม่ตัวเองหลุดฝากขังปล่อยตัวไปเเล้ว หลังเส้นเงินพัวพันโรงงานปุ๋ยเงินหมุนหลายร้อยล้าน ชี้เกิดผลเสียหายคดี เตรียมยื่นร้องตรวจสอบ
1 กันยายน 2568 - จากกรณีที่เเก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกมารดาอายุเกือบ 80 ของ น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคดียาเสพติด หรือ “อัยการดาว” ด้วยการหลอกให้รักหรือ “โรแมนซ์สแกม” ให้โอนเงินจำนวนหลายสิบครั้งรวมยอดเงิน 7 แสนกว่าบาท ล่าสุดตอนนี้มีรายงานข่าวว่า คดีนี้ครบฝากขังผู้ต้องหา 7 ฝาก เเต่ยังไม่ได้มีการฟ้องคดีทำให้ตัวผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวออกมาเเล้ว
น.ส.สุภาภรณ์ หรือ “อัยการดาว” ตัวเเทนผู้เสียหาย บอกว่า ได้ทราบข่าวคร่าวๆแล้ว ถ้าสังเกตตนได้ยื่นร้องเกี่ยวกับการทำคดีไปตั้งแต่ช่วงแรกว่าอาจจะมีเหตุให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาได้ เราก็คิดไว้ เราก็เป็นห่วงในเรื่องพยานหลักฐาน ซึ่งจากที่ติดตามคดี พบว่านางสาวอัญชลี ไม่ใช่แค่บัญชีม้า แต่เป็นผู้มีส่วนในการกระทำความผิด การปล่อยตัวไปทำให้คดีเสียหายเพราะความผิดที่กล่าวหา คือคดีร่วมกันฉ้อโกงฯ ซึ่งเป็นคดีมูลฐานหลัก แต่ความผิดฐานฟอกเงิน มันต้องอ้างอิงกับคดีหลักซึ่งก็คือคดีร่วมกันฉ้อโกงฯ ผู้ต้องหาที่โดนกล่าวหาว่าฉ้อโกงยังไม่มีคำพิพากษา แต่ได้รับการปล่อยตัวไป มันก็จะเป็นช่องให้ผู้ต้องหารายอื่นที่รับเงินผลประโยชน์ที่เป็นการฟอกเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ก็ได้ใช้เป็นข้อต่อสู้ เรื่องนี้มันกระทบและเสียหายอยู่แล้ว
เท่าที่ทราบคดีนี้ทางตำรวจฝ่ายสืบ ที่ไม่ใช่พนักงานสอบสวนเข้าไปช่วยตามคดีให้ ถึงกล่าวหากลุ่มผู้กระทำความผิดได้ แต่เมื่อผู้ต้องหาที่เป็นตัวร่วมฉ้อโกงได้รับการปล่อยตัวจนหนีไปได้ ตอนนี้สำนวนคือ เท่าที่ทราบ อยู่กับตำรวจไซเบอร์ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว เราทำได้เพียงขอให้มีการตรวจสอบ
ถ้าเราไม่ยื่นไปก็เชื่อว่าเรื่องจะเงียบหาย ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนที่จะเลือกดำเนินคดีใคร มันไม่มีการถูกตรวจสอบในทางกฎหมาย ถ้าเราไม่ทำหนังสือให้ตรวจสอบไปทุกอย่างก็จบ สิทธิ์ของผู้เสียหายตอนนี้กฎหมายไม่ได้เปิดช่องในการปกป้องสิทธิ์เท่าไหร่เลย คำว่าคุกมีไว้ขังคนจนมันก็เป็นคำพูดที่เป็นอมตะ
อยากฝากถึงพนักงานสอบสวนให้ตระหนักในหน้าที่ ถ้าเปรียบเทียบกับทหารที่เป็นรั้วของชาติทำหน้าที่ปกป้องชาติออกรบในสงคราม แต่ตำรวจรบกับกลุ่มผลประโยชน์ที่มีเงิน ก็ขอให้อย่าพ่ายแพ้กับความถูกต้อง มิฉะนั้นประชาชนจะเสื่อมศรัทธา กระบวนการยุติธรรมก็มาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากนี้จะทำหนังสือให้ตรวจสอบต่อไป
“เพราะผู้ต้องหาที่หลบหนีไปก็ไม่รู้ว่าจะจับตัวได้ตอนไหน เมื่อโทรสอบถามไป ก็ได้ยินแต่เพียงคำว่าเดี๋ยวดำเนินการให้ครับ เรื่องการขาดขังครั้งนี้ เราคำนวณล่วงหน้าไว้แล้วว่ามันอาจจะต้องเกิดขึ้น และสุดท้ายมันก็เกิดขึ้นจริง อยากให้นึกถึงตัวผู้เสียหายบ้าง เราก็ไม่อยากมานั่งกัดกินใจในกระบวนการยุติธรรม ก็ขอฝากถ้าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องอำนาจในการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่มีส่วนในการร่วมกระทำความผิด ก็อยากให้ผู้มีอำนาจในการฟ้องคดีได้กำหนดตัวผู้กระทำความผิดด้วย เพราะกฎหมายไม่มีเรื่องนี้เลย คดีมันก็จะล่าช้าความยุติธรรมก็จะเลือนลาง”อัยการดาวระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีนี้ อัยการดาวได้เเจ้งความไว้ที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ ซึ่งเธอเล่าว่าตอนเเรกตำรวจทำคดีโอเคเลยมีการอายัดบัญชีที่รับเงินต่อจากบัญชีม้าชื่อ น.ส.อัญชลี กับ นายธนพล ซึ่งตอนหลังตำรวจก็จับกุม ตัว น.ส.อัญชลีได้ ส่วนนายธนพลหลบหนีไป จากนั้นพนักงานสอบสวนก็นำตัว น.ส.อัญชลีไปฝากขังที่ศาลธัญบุรี โดยไม่ได้รับการประกันตัว
เเต่พบว่าคดีนี้ ยังมีกลุ่มที่รับเงินต่อจากบัญชีม้าเงินถูกโอนจากบัญชีไปที่ประเทศกัมพูชา (ตามยาก) เเละมีเส้นเงินที่โอนไปยังคนไทย จากการตรวจสอบพบว่ามีเส้นเงินจากบัญชีม้าไปเข้าบัญชี กรรมการบริษัทปุ๋ยเเห่งหนึ่งในจังหวัดติดชายเเดนกัมพูชาที่มีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้านบาท เเละ นักธุรกิจรายหนึ่ง
เเต่ปรากฎว่า เมื่อถูกเชิญมาสอบสวนในตอนเเรกทั้งสองกลับไม่ถูกพนักงานสอบสวนไซเบอร์ตั้งข้อหาเเต่ให้ถูกสอบกันไว้เป็นพยาน เท่ากับว่าคดีนี้ในตอนเเรกนั้นมีเพียงน.ส.อัญชลีบัญชีม้าที่ถูกดำเนินคดี
เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่อัยการดาวได้ยื่นร้องพนักงานสอบสวนไซเบอร์ที่ทำคดีอย่างผิดปกติดังกล่าวไปยัง ผบ.ตร.18 ประเด็นที่ตกเป็นข่าวเกรียวกราว
ภายหลังจากที่อัยการดาวมีการร้องเรียนไป ในช่วงเเรกทางพนักงานสอบสวนไซเบอร์ก็ยังไม่มีการเรียก กรรมการโรงปุ๋ยกับนักธุรกิจมาเเจ้งข้อหา จนภายหลังฝ่ายสืบสวนของตำรวจไซเบอร์ต้องเป็นผู้กล่าวหาดำเนินคดีกรรมการโรงปุ๋ยกับนักธุรกิจกับพนักงานสอบสวนเอง จนพนักงานสอบสวนไซเบอร์ยอมมีการเเจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินเเล้ว เเต่พนักงานสอบสวนไซเบอร์กลับไม่มีการนำตัวไปส่งศาลฝากขังเหมือนกรณี น.ส.อัญชลี เเละพิจารณาให้ประกันตัวไปในชั้นสอบสวน
ในส่วนการทำสำนวน เมื่อพนักงานสอบสวนไซเบอร์ได้ทำสำนวนเสร็จ เเละนัดนำตัวผู้ต้องหาไปยื่นต่ออัยการจังหวัดธัญบุรีพิจารณา ซึ่งพออัยการพิจารณาสำนวนก็พบว่าตำรวจไซเบอร์ทำสำนวนมาไม่ครบถ้วนอีก
เนื่องจากพฤติการณ์ในคดีนี้ เป็นคดีนอกราชอาณาจักร กฎหมายให้เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดเเต่เพียงผู้เดียวจึงต้องทำการคืนสำนวนให้พนักงานสอบสวนของไซเบอร์ไปทำมาเสนออัยการสูงสุดใหม่
ซึ่งระหว่างที่พนักสอบสวนทำการสอบสวนจนโดนตีคืนสำนวนกลับ ระยะเวลาฝากขัง น.ส.อัญชลี ก็เดินต่อไป จนครบฝากขังวันสุดท้าย 21 ส.ค.ทางพนักงานสอบสวนไซเบอร์ก็ยังไม่สามารถนำสำนวนคดีมาส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา จนส่งผลให้ ”อัญชลี“บัญชีม้า ผู้ต้องหารายสำคัญซึ่งเป็นพยานเชื่อมโยงรายอื่น ถูกปล่อยตัวเเละหายเข้ากลีบเมฆไป ทำให้จนบัดนี้ก็ยังไม่มีผู้ต้องหาซักรายในคดีนี้ถูกส่งสำนวนให้อัยการพิจารณา
จะเห็นว่าช่วงนี้ คดีดังๆล่าสุด 3 คดีรวด ไม่ว่าจะเป็นคดีเว็บพนันมินนี่ ที่ตอนนี้อัยการฟ้องไม่ทันเพราะตำรวจไซเบอร์ทำสำนวนไม่เรียบร้อยจนโดนตีกลับจนทำให้มินนี่เผ่นหนีไปได้ เเละคดีจำหน่ายยาเสียสาวหมอเเอร์ กับพวกที่ล่าสุด พนักงานสอบสวนส่งสำนวนช้ามากมีการส่งสำนวนมาวันที่่ 28 ส.ค.เเละจะครบขังวันที่ 2 ก.ย.เรียกว่า อีก4 วันทำการจะครบขัง เเถมในวันที่ส่งสำนวนมา โดนอัยการคดียาเสพติดตรวจสำนวนเเล้วให้คืนสำนวนกลับไปให้กับ บช.ปส.ทำมาส่งใหม่หลังพบว่าทำสำนวนไม่ครบถ้วนในประเด็นอันเป็นสาระสำคัญ เเละจะต้องส่งให้อัยการพิจารณาทั้งที่เหลืออีก1-2 วันจะครบขังนี้ จนอาจเป็นเหตุให้ถูกปล่อยตัวไปอีกได้
หรือควรจะต้องมาพิจารณาเรื่องการสังคายนาเเก้ ป.วิ อาญา ให้ระบุในการทำสำนวนไปเลยว่า ในคดีที่มีโทษอาญาสูงเกิน 10 ปีที่มีกำหนดฝากขัง 7 ฝาก ตำรวจควรมีเวลาทำสำนวน 4 ฝากหรือ48 วัน เเละต้องส่งให้อัยการมีเวลาอ่านเเละเขียนคำสั่งไม่น้อยกว่า 3 ฝากหรือ 36 วัน พร้อมทั้งกำหนดมาตรการว่า หากไม่สามารถทำได้ ก็อาจจะต้องถูกพิจารณาเหตุผลเเละอาจจะถูกดำเนินการทางวินัยหรืออาญา เพื่อไม่ให้ความยุติธรรมเสียหายต่อไป