3 โบรกฯ ประเมินราคาพื้นฐานหุ้นน้องใหม่ TURBO ก่อนเข้าตลาดหุ้น
#ทันหุ้น-โบรกเกอร์ 3 รายได้ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด(มหาชน) หรือ TURBO ซึ่งเป็นหุ้นใหม่ที่เตรียมจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET โดย TURBO ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อภายใต้ชื่อทางการค้า”เงินเทอร์โบ” ซึ่งจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 537 ล้านหุ้นหรือไม่เกิน 20.10% โดยมีธนาคารทิสโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งโบรกเกอร์ประเมินราคาพื้นฐานอยู่ที่ 2.10-2.30 บาทต่อหุ้น
ฝ่ายวิจัยบล.เอเซียพลัส คาดกำไรสุทธิปี 2568 ของ TURBO อยู่ที่ 525 ล้านบาท เพิ่มจาก 142 ล้านบาทในปี 2567 หนุนด้วย Credit cost และ Cost to income ratio มีพัฒนาการ รวมถึงรายได้เติบโต ขณะที่คาดอัตราการเติบโตของกำไรฯ ปี 2569 – 70 เฉลี่ยอยู่ที่22% จากสินเชื่อเพิ่มและการบริหารค่าใช้จ่าย หนุน ROE ที่ 16% ดีกว่ากลุ่มฯ ที่โต 10% -11% และมี ROE 15%
ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัสให้ราคาพื้นฐานปี 2569 อยู่ที่ 2.30 บาท มองว่า TURBO มีจุดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตและ ROE ดีกว่ากลุ่มฯ อีกทั้งรับประโยชน์จากวงจรดอกเบี้ยขาลงเร็วกว่ากลุ่มฯ เนื่องจากใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารเป็นหลัก นอกจากนี้ประเมินว่า NPL ผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้วช่วยให้การจัดการ Credit cost มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยรวมถือเป็นอีก 1ตัวเลือก ในธีมดอกเบี้ยขาลง
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า TURBO ใช้เวลาไม่นานในการก้าวเข้าสู่ตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนซึ่งท้าทายจากคู่แข่งเดิมที่แข็งแกร่ง ด้วยจุดแข็งของผู้ถือหุ้น กลยุทธ์ธุรกิจที่แตกต่าง และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยใน 1-2 ปี ที่ผ่านมา TURBO ใช้เวลากับการปรับกลยุทธ์ธุรกิจใหม่โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยง เมื่อรวมกับการเข้าจดทะเบียนใน SET ทำให้มองว่า TURBO พร้อมแล้วที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดใน 2-3 ปี ข้างหน้า
ฝ่ายวิจัยแลนด์แอนด์เฮ้าส์ คาดการณ์กำไรปี 2568-2570 ของ TURBO เติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ซึ่งมีปัจจัยหนุนโดยสินเชื่อเติบโต NIM เพิ่มขึ้น และ Credit cost ที่ลดลง ซึ่งประเมินราคาเป้าหมายหุ้น TURBO อยู่ที่ 2.20 บาท FY69F P/B 1.33x ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯ
บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่า TURBO จะสามารถสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพได้ จากทั้งธุรกิจจำนำทะเบียนรถ และนายหน้าประกันภัย คาด TURBO จะพลิกฟื้นผลประกอบการจากกำไรสุทธิในปี 2567 ที่ 142 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 462 ล้านบาทในปี 2568 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2569-2570 อยู่ที่ 666 ล้านบาท และ 853 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีปัจจัยหนุนจากการลดลงของ Credit Cost และ NPL Ratio การควบคุมต้นทุนในการขยายสาขาใหม่และผลจากการลงทุนด้าน IT การเติบโตของสินเชื่อ CAGR ราว 12.3% ซึ่งฝ่ายวิจัยคาด ROE จะกลับมาอยู่ในช่วง 14-18% สำหรับปี 2568-2570 โดยประเมินราคาเหมาะสมปี 2569 อยู่ที่ 2.10 บาท