ทรัมป์คุยปูตินไร้เงายูเครน ทหาร-พลเรือนหวั่นได้สันติภาพที่ขาดยุติธรรม
ทั่วโลกกำลังจับตาการประชุมสุดยอดสองผู้นำ ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ณ รัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเด็นการประชุมสำคัญคือการหาข้อยุติเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ทว่าการประชุมในครั้งนี้กลับไม่มีคู่พิพาทอย่างยูเครนเข้าร่วมการเจรจาด้วย แม้ว่าประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี จะยืนกรานมาตลอดว่าจะไม่ยอมรับข้อตกลงใด ๆ ที่ขาดส่วนร่วมของยูเครน
ไม่ใช่แค่เพียงผู้นำยูเครนเท่านั้นที่กำลังไม่สบายใจกับการพบปะของสองมหาอำนาจ ทั้งกองทัพและประชาชนยูเครนก็แสดงความกังวลออกมาเช่นกัน ซึ่งกลุ่มคนที่ชีวิตจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเจรจาในครั้งนี้ก็คือทหารแนวหน้าของยูเครน พวกเขากำลังได้รับการฝึกแบบใหม่ที่เรียกว่า Dronocide หรือ “การพลีชีพด้วยโดรน” เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในสมรภูมิ แต่อาจนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตครั้งใหญ่ หากทรัมป์ไม่สามารถทำให้ปูตินยอมหยุดยิง
การเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบอย่างต่อเนื่องชี้ให้เห็นว่ายูเครนไม่ได้มีความหวังมากนักว่าสงครามจะจบลงในเร็ววัน อย่างไรก็ตาม การฝึกนี้ไม่ได้ซับซ้อนเป็นพิเศษ อาวุธป้องกันของพวกเขาคือปืนลูกซอง ทหารจะฝึกซ้อมเพื่อยิงเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว โดยเริ่มจากการยิงจากพื้นดินแล้วจึงยิงในขณะที่เคลื่อนที่ ด้านนายอิฮอร์ อาวุธป้องกันของพวกเขาคือปืนลูกซอง ทหารจะฝึกซ้อมเพื่อยิงเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว โดยเริ่มจากการยิงจากพื้นดินแล้วจึงยิงในขณะที่เคลื่อนที่
อิฮอร์ ได้ต่อสู้ในแนวรบด้านตะวันออกของยูเครนมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นปีที่รัสเซียผนวกไครเมียอย่างผิดกฎหมายและส่งทหารเข้าสู่ภูมิภาคดอนบัส สัญลักษณ์เรียกขานของเขาคือ “มือมีด” เขายังฝึกกองกำลังในการต่อสู้แบบประชิดตัวอีกด้วย เขาเปิดเผยกับ BBC ว่า พยายามช่วยหยุดการรุกคืบของรัสเซียมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาไม่พอใจกับการที่ยูเครนจะต้องสละดินแดนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ "การแลกเปลี่ยนดินแดน" ใด ๆ และอยากจะต่อสู้ไปจนกว่ารัสเซียจะวางมือจากดินแดนของยูเครน
ความจริงที่เจ็บปวดจากแนวหน้า
หน่วยแนวหน้าของยูเครนบางส่วนมีกำลังพลต่ำกว่าระดับที่กำหนด ทหารคนหนึ่งเผยว่า ความพยายามครั้งใหม่ในการระดมพลทหารเพิ่มเป็น "หายนะ" พวกเขารู้ว่าพวกเขายังคงมีอาวุธและจำนวนทหารน้อยกว่า ทหารยูเครนยังยอมรับว่าพวกเขากำลังเหนื่อยล้าและสูญเสียพื้นที่ไปเรื่อย ๆ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่การฝึกนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ยอมแพ้
โอเล็กซี หนึ่งในทหารที่กำลังฝึกฝนทักษะการใช้ปืนลูกซองบอกว่า เขาได้สูญเสียพ่อและเพื่อน ๆ ไปในสงครามแล้ว เขายอมรับว่า "สงครามต้องหยุดลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง" แต่สำหรับข้อเสนอแนะที่ว่ายูเครนจะมอบดินแดนให้รัสเซียเพิ่มเติม เขากล่าวว่า: "ผมไม่คิดว่าเราควรทำแบบนั้น ผมไม่ชอบความคิดนี้"
ทั้งนี้ กองกำลังยูเครนชี้ให้เห็นว่ารัสเซียก็กำลังได้รับความสูญเสียอย่างหนัก โดยมีผู้บาดเจ็บล้มตายประมาณ 1,000 คนต่อวัน ทรัพยากรของรัสเซียก็ค่อย ๆ หมดลงเช่นกัน
เสียงจากกรุงเคียฟ
มุมมองจากแนวหน้านี้สะท้อนอยู่ในเมืองและเมืองต่าง ๆ ของยูเครน พลเรือนก็กำลังประสบกับผลที่ตามมาของสงครามโดยตรงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา รัสเซียได้เพิ่มการโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง เมื่อเดือนที่แล้วรัสเซียได้ปล่อยโดรนมากกว่า 6,000 ลำใส่ยูเครน ในขณะที่ในเดือนกรกฎาคม 2024 รัสเซียใช้โดรนโจมตี 400 ลำเท่านั้น
ในส่วนของประชาชน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาต้องการให้สงครามยุติลงให้เร็วที่สุด โอเล็กแซนเดอร์ ชายยูเครนที่อาศัยในเมืองหลวงกล่าวว่า "ถ้าเราไม่หยุด เราจะสูญเสียดินแดนและผู้คนมากขึ้นไปอีก" อีกทั้งยังเปรียบเทียบสงครามครั้งนี้เหมือนการเล่นพนันในคาสิโน ที่ยิ่งเล่นมากเท่าไหร่ ยิ่งหมดตัวมากเท่านั้น
ขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกหดหู่กับโอกาสในการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และปูติน เขาเชื่อว่ายูเครนอาจจะต้องสละดินแดนมากขึ้นเพื่อแลกกับการหยุดยิง นายโวโลดิเมียร์ ชายชาวยูเครนกล่าวว่า "เราไม่มีทรัพยากร เด็กผู้ชายของเราทุกคนไปสวรรค์หรืออยู่ในโรงพยาบาลแล้ว"
ความคิดเห็นที่หลากหลายจากยูเครน
อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่า รัสเซียต้องการสันติภาพอย่างแท้จริง นายโอเล็กแซนเดอร์ เมเรซโก ส.ส. และประธานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศของยูเครนคิดว่าการประชุมที่อะแลสกาเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์สำหรับประธานาธิบดีปูติน เขากล่าวว่า "ปูตินไม่มีความปรารถนาที่จะประนีประนอมใด ๆ เขาคิดว่าเขากำลังชนะสงคราม และเขาจะไม่ยอมถอย"
เมเรซโกยังปัดข้อเสนอแนะของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ว่ายูเครนจะต้อง "ลงนามในบางอย่าง" เขาไม่เชื่อว่าข้อตกลงใด ๆ จะดีต่อยูเครนได้" เขากล่าวว่า การเสียสละบ้านของผู้คนเพื่อสันติภาพนั้นเป็นสิ่งที่ผิดทั้งในทางศีลธรรมและกฎหมาย แต่ชาวยูเครนจำนวนมากได้สูญเสียบ้านและชีวิตไปแล้ว ตามข้อมูลของสหประชาชาติมีพลเรือนมากกว่า 13,000 คนถูกสังหาร ในขณะที่ชาวยูเครน 3.5 ล้านคนถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้าน
ผู้พลัดถิ่นกว่า 500 คนในตอนนี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชั่วคราว ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองหลวง บ้านใหม่ของพวกเขาคือตู้คอนเทนเนอร์โลหะแทนที่จะเป็นอิฐและปูน หลายคนเป็นผู้สูงอายุที่หนีการสู้รบในภาคตะวันออก มีสนามเด็กเล่นเล็ก ๆ สำหรับเด็ก ๆ ที่อาจจะไม่มีวันได้เห็นเมืองและหมู่บ้านที่พวกเขาเกิด บ้านเก่าของพวกเขาตอนนี้อยู่ในดินแดนที่ถูกยึดครอง
ใบหน้าของคุณปู่เฮนนานดีวัย 78 ปีเต็มไปด้วยน้ำตาเมื่อเขาบอกว่า เขาไม่คิดว่าเขาจะได้เห็นหลุมศพของแม่อีกครั้ง เขาบอกว่าเขายังคงคิดถึงสิ่งที่เขาต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง เขากล่าวว่า "ผมชอบตกปลาที่นั่น ผมมีที่ดินแปลงเล็ก ๆ องุ่นของผมและต้นวอลนัทของผม และตอนนี้มันไม่มีอยู่แล้ว"
ชาวยูเครนส่วนใหญ่กังวลใจกับการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และปูติน เช่นเดียวกับแวเลอรี นักศึกษาวัย 18 ปีซึ่งครอบครัวสูญเสียบ้าน เธอกล่าวว่า "ฉันหวังว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีความหวังมากนัก"