‘สมศักดิ์‘ ไฟเขียวเก็บค่าฉุกเฉินต่างชาติ ดันท่องเที่ยวปลอดภัย-หนุนคนไทย
“สมศักดิ์” เผย บอร์ด สพฉ. ไฟเขียวเก็บค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยกระดับมาตรการฐานความปลอดภัยเทียบเท่าสากล กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว หวังดึงงบฯ กลับมาช่วยผู้ป่วยคนไทย ตั้งเป้า 3 ปี เข้าถึงบริการ 70 เปอร์เซ็นต์ พร้อมยืนยันสถานชีวาภิบาล “วัดพระบาทน้ำพุ” ดูแลผู้ป่วยต่อได้ เตือนลอยแพผู้ป่วยจะยุ่งคดีความมากขึ้น
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 8/2568 โดยมี นายพิเชษฐ์ หนองช้าง เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ นายวันชาติ ศุภจัตุรัส กรรมการผู้แทนแพทยสภา นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย และคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เข้าร่วมที่ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข
โดยนายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน ได้พิจารณาเรื่องสำคัญ คือ การกำหนดและการเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์และการดำเนินกิจการของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อยกระดับระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุม เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมการท่องเที่ยว การลงทุน และเศรษฐกิจของประเทศ โดยจากข้อมูลพบว่า ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทย รวม 35.54 ล้านคน พบสถิติการเกิดอุบัติเหตุของนักท่องเที่ยว ซึ่งประสบอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ ร้อยละ 80.73 มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 616 คน บาดเจ็บ 28,463 คน โดยจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตและเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คือ จังหวัดภูเก็ต กทม. และเชียงใหม่
นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า สพฉ.จึงได้เสนอแนวทางคือ 1.กำหนดอัตราการเรียกเก็บค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินและการดำเนินกิจการของสถาบัน 2.นำงบประมาณที่ได้ไปใช้โครงการลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในการเข้าถึงระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่มีมาตรฐานคุณภาพ อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อลดการเสียชีวิตและความพิการของผู้ป่วยฉุกเฉินก่อนถึงสถานพยาบาล และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ" (EMS for Wealth and Well Being) โดยที่ประชุมมีมติเห็นในชอบหลักการให้กำหนดอัตราและเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและ ค่าดำเนินกิจการของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และมอบ สพฉ.ไปดำเนินการจัดทำอัตราค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและค่าดำเนิน กิจการของสถาบัน และแนวทางการเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและค่าดำเนินกิจการของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อเสนอบอร์ดพิจารณาอีกครั้ง รวมถึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อศึกษารายละเอียดเรื่องนี้ด้วย
ภายหลังการประชุม นายสมศักดิ์ แถลงว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ สพฉ. ดำเนินการเสนอนโยบายเพื่อขับเคลื่อนระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีความยั่งยืน และเทียบเท่ามาตรฐานสากล เป็นการยกระดับการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุม ส่งเสริมการท่องเที่ยวปลอดภัยเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้หัวข้อ “แพทย์ฉุกเฉินเข้มแข็ง นักท่องเที่ยวมั่นใจ คนไทยปลอดภัย ประเทศไทยเติบโต” คือภาพที่เราต้องการเห็นในประเทศไทยวันนี้ รัฐบาลกำหนดให้ปีนี้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬาอย่างยิ่งใหญ่ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Yearโดยมุ่งมั่นที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากทั่วโลกด้วยความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะ “ความปลอดภัย” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเดินทางและการใช้ชีวิต แต่ในความเป็นจริง ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของไทย ยังมีข้อจำกัดที่ต้องเร่งแก้โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ประชาชนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวห่างไกล ยังเข้าไม่ถึงบริการฉุกเฉินที่ได้มาตรฐานเราจะไม่พึ่งพางบประมาณแผ่นดินเพียงอย่างเดียว แต่จะจัดสรรรายได้จากแหล่งสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกันนักท่องเที่ยว ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันวินาศภัย รวมถึงกองทุนจากภาครัฐ และค่าดำเนินการในด้านต่าง ๆ ของสถาบันรายได้เหล่านี้ จะถูกนำไปลงทุนใน 4 เรื่องสำคัญ
1.กำหนดอัตราค่าบริการฉุกเฉินทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ 2. ขยายหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินให้ครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศ 3. พัฒนาระบบให้ทันสมัย เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ 4. ยกระดับมาตรฐานการฝึกอบรม และสนับสนุนทรัพยากรให้หน่วยปฏิบัติงาน
“เป้าหมายของเราภายใน 3 ปี คือ ประชาชนและนักท่องเที่ยว ต้องเข้าถึงบริการฉุกเฉินได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70หน่วยบริการต้องเข้าถึงได้ทุกพื้นที่และประเทศไทยจะต้องมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ปลอดภัย ทันสมัย และเชื่อถือได้ ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อ “รักษาชีวิต”แต่เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่น ให้กับทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยเพื่อให้การท่องเที่ยวไทย แข่งขันได้ในเวทีโลกและเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายสมศักดิ์กล่าว
ด้านนายพิเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากบอร์ดมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ สพฉ. จะได้เริ่มกระบวนการศึกษารายละเอียด ออกแบบกำหนดอัตราศึกษาต้นทุนการช่วยเหลือในทุกช่องทาง ทั้งเคสสีเหลือง สีแดง เพื่อนำมากำหนดราคา จะเร่งดำเนินการ ระยะเวลา 5-6 เดือน บริษัทประกันอาจเริ่มได้ ส่วนอื่นอาจจะใช้เวลา เพราะมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง สำหรับประชาชนที่อยู่ตามสิทธิต่างๆ สพฉ.จะหารือกับกองทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการเข้าร่วมแนวทางกับการแพทย์ฉุกเฉิน ส่วนคนที่มีประกันจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะได้รับการตอบสนองหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น กรณีนักท่องเที่ยวคงจะต้องหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าทำได้ นักท่องเที่ยวจะเกิดความมั่นใจ ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
เมื่อถามถึงการจัดการสถานชีวาภิบาลในวัดพระบาทน้ำพุ หลังพระอลงกต ลาสิกขาแล้ว นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อย่าห่วงว่า เจ้าอาวาสไม่อยู่แล้ว จะไม่มีคนดู เพราะวัดมีผู้ช่วย มีคนทำงานจำนวนมาก ดังนั้น ต้องมีคนดูอยู่แล้ว เมื่อถามต่อว่า แสดงว่าสถานชีวาภิบาล ยังเดินได้ต่อ แต่สังคมยังกังวลว่า ผู้ป่วยจะถูกลอยแพ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็ต้องมีคนดำเนินการ เพราะมีงบประมาณ มีคนบริจาคจำนวนมากถ้าลอยแพก็จะยุ่งไปใหญ่ คดีความจะมากไปอีก ดังนั้น ทำอะไรให้เรียบร้อย ทุกอย่างก็จะจบ.