ทรัมป์เคลื่อนไหว จำกัดระยะเวลาพำนักในสหรัฐอเมริกาของนักศึกษาและนักข่าวต่างชาติ
รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับระยะเวลาที่นักศึกษาต่างชาติและนักข่าวสามารถพำนักในสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งเป็นความพยายามล่าสุดที่จะเพิ่มความเข้มงวดด้านกฎหมายการเข้าเมือง
รูปถ่ายขนาดใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ข้างธงชาติสหรัฐอเมริกา ที่ด้านหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ของกระทรวงแรงงาน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม (Photo by Drew ANGERER / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2568 กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมพิจารณากำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับระยะเวลาที่นักศึกษาต่างชาติและนักข่าวสามารถพำนักในสหรัฐอเมริกาได้
ในความพยายามล่าสุดที่จะเพิ่มความเข้มงวดด้านกฎหมายการเข้าเมือง ชาวต่างชาติจะไม่ได้รับอนุญาตให้พำนักในสหรัฐอเมริกานานเกิน 4 ปีด้วยวีซ่านักเรียน
ขณะที่นักข่าวต่างประเทศจะถูกจำกัดให้อยู่ได้เพียง 240 วัน แต่สามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาได้อีก 240 วัน ยกเว้นนักข่าวจีนที่จะได้รับเพียง 90 วัน โดยปัจจุบันสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติวีซ่าระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี สำหรับหลักสูตรการศึกษาของนักศึกษาหรือตามภารกิจของผู้ประกอบอาชีพนักข่าว
การเปลี่ยนแปลงที่เสนอนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารทางการของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Register) ในช่วงเริ่มต้น โดยเปิดพื้นที่ให้สาธารณชนแสดงความคิดเห็นก่อนที่จะมีผลบังคับใช้
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของทรัมป์กล่าวหาว่ามีชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งที่ยังใช้ช่องว่างของกฏหมายในการขอขยายเวลาการศึกษาของตนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อให้สามารถพำนักอยู่ในประเทศในฐานะนักศึกษาได้ตลอดไป
กระทรวงฯ ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพุธว่า "เป็นเวลานานเกินไปแล้วที่รัฐบาลในอดีตอนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติและผู้ถือวีซ่าอื่นๆ พำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้แทบจะไม่มีกำหนด ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย, สิ้นเปลืองเงินภาษีของประชาชนจำนวนมาก และทำให้พลเมืองสหรัฐฯ เสียเปรียบ"
กระทรวงฯไม่ได้อธิบายว่าพลเมืองสหรัฐฯ และผู้เสียภาษีได้รับผลกระทบจากนักศึกษาต่างชาติอย่างไร ซึ่งตามสถิติของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ นักศึกษาเหล่านี้มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาต้อนรับนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 1.1 ล้านคนในปีการศึกษา 2023-2024 ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นๆ และถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญ เนื่องจากชาวต่างชาติส่วนใหญ่เป็นผู้จ่ายค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน
กลุ่มตัวแทนผู้นำวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ ประณามการดำเนินการล่าสุดนี้ว่าเป็นอุปสรรคทางราชการที่ไม่จำเป็น ซึ่งรบกวนการตัดสินใจทางวิชาการ และอาจเป็นอุปสรรคต่อนักศึกษาที่มีศักยภาพที่จะมีส่วนร่วมในการวิจัยและการสร้างงาน
"กฎที่เสนอนี้ส่งสารไปยังบุคคลผู้มีความสามารถจากทั่วโลกว่า ผลงานของพวกเขาไม่มีคุณค่าในสหรัฐอเมริกา" มิเรียม เฟลด์บลัม ประธานและซีอีโอของ Presidents’ Alliance on Higher Education and Immigration กล่าว
เธอเสริมว่า "เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อนักศึกษาต่างชาติเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความสามารถของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูง ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของเราลดน้อยลง"
ประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่มหาวิทยาลัยต่างๆ กำลังเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ โดยหลายแห่งรายงานว่าจำนวนนักศึกษาต่างชาติลดลง จากนโยบายกีดกันของทรัมป์
แต่ทรัมป์ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฐานเสียงของเขาเช่นกัน เมื่อเขาเผยว่าต้องการเพิ่มจำนวนนักศึกษาชาวจีนในสหรัฐอเมริกาให้แตะระดับ 600,000 คน พร้อมกับยกย่องความสัมพันธ์อันดีกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง
คำกล่าวของเขาถือเป็นการเบี่ยงเบนไปจากคำมั่นสัญญาก่อนหน้านี้ของมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มุ่งเพิกถอนวีซ่านักศึกษาจีนอย่างจริงจัง
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ได้เพิกถอนวีซ่านักเรียนไปแล้ว 6,000 ฉบับนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่รูบิโอโจมตีนักเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยที่นำการประท้วงต่อต้านอิสราเอล
ทรัมป์ยังได้ระงับเงินทุนวิจัยของรัฐบาลกลางหลายพันล้านดอลลาร์ที่มอบให้กับมหาวิทยาลัย โดยรัฐบาลของเขายืนยันว่าเงินทุนเหล่านี้ไม่ได้มอบให้เพื่อนำไปสนับสนุนการต่อต้านชาวยิว และรัฐสภาก็ได้ขึ้นภาษีเงินบริจาคของมหาวิทยาลัยเอกชนอีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ได้เสนอให้จำกัดระยะเวลาวีซ่านักข่าว แต่ต่อมาโจ ไบเดน ได้ยกเลิกแนวคิดนี้ไป.