ป้านักบัญชี ช้ำแก๊งคอลฯ หลอกสูญ 3.3 แสน แนบเนียนจนแทบไม่รู้ตัว
เมื่อ วันที่ 22 ส.ค.68 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง น.ส.ณัชพร หรือ ป้าเจส สายไหม อายุ 64 ปี พนักงานบัญชีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านช่องนนทรี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมด้วย จ่าคิงส์ สะพานใหม่ เพื่อร้องทุกข์และเตือนภัยประชาชนให้ระวังภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐ
น.ส.เจสเล่าว่า เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ขณะที่เธอกำลังเล่นเฟซบุ๊ก ได้เห็นโพสต์ที่ระบุว่า
- "ใครที่เสียหายจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ สามารถติดต่อขอคืนเงินได้ที่นี่"
ด้วยความที่เธอเคยได้รับความเสียหายจากการซื้อสินค้าออนไลน์เป็นผ้าปูที่นอนมูลค่า 400 บาท และจากการลงทุนหุ้นกับเพจปลอมเป็นเงิน 10,000 บาท ทำให้เธอหลงเชื่อและกดเข้าไปในโพสต์ดังกล่าว
หลังจากนั้น เธอได้พูดคุยกับแอดมินเพจที่อ้างตัวเป็นทนายความ และได้รับการแนะนำให้ติดต่อกับมิจฉาชีพอีกคนที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ซึ่งได้ขอข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดไป และแจ้งว่าเงิน 10,000 บาทที่ถูกหลอกลงทุนหุ้นนั้น ได้เข้าไปในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ก่อนจะแนะนำให้ติดต่อกับอีกคนที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อดำเนินการขอเงินคืน
มิจฉาชีพแก๊งนี้ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหลายครั้ง ทำให้ น.ส.เจส หลงเชื่อและโอนเงินให้รวมเป็นเงิน 299,205.68 บาท ภายในวันเดียวกัน หลังจากนั้นเธอก็ไม่สามารถติดต่อใครได้อีกเลย จึงรู้ตัวว่าถูกหลอกและเข้าแจ้งความออนไลน์กับ thaipolice.com ก่อนจะไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจนครบาลสายไหมในวันรุ่งขึ้น
ต่อมาวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา มิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ติดต่อกลับมาอีก พร้อมส่งหลักฐานการได้เงินคืน 300,000 บาทมาให้ดู และแจ้งว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก 50,000 บาท น.ส.เจสปฏิเสธไปเพราะไม่มีเงินเหลือแล้ว มิจฉาชีพจึงออกอุบายว่าจะช่วยออกเงินให้ส่วนหนึ่ง 20,000 บาท ทำให้เธอใจอ่อนและหลงเชื่ออีกครั้ง ถึงขั้นนำสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือรวม 2 บาท ไปจำนำได้เงินมา 80,000 บาท ก่อนจะโอนเงินให้มิจฉาชีพไปอีก 30,000 บาท แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับเงินคืน
จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มิจฉาชีพได้ติดต่อมาอีกครั้ง พร้อมส่งสลิปโอนเงิน 600,000 บาทปลอมมาให้ดูและขอค่าดำเนินการ 10% หรือ 60,000 บาท แต่ครั้งนี้ น.ส.เจสได้ปรึกษาเจ้านายที่บริษัทก่อน และเมื่อตรวจสอบรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน พบว่าสลิปปลอมดังกล่าวมีรูปมิกกี้เมาส์แปะอยู่ตรงคิวอาร์โค้ด ทำให้เธอไม่หลงกลอีกครั้ง
น.ส.เจสได้เข้าขอความช่วยเหลือจาก 'สายไหมต้องรอด' ซึ่งได้แนะนำให้เธอมาปรึกษาจ่าคิงส์เพื่อเข้าแจ้งความที่ บก.ป. ในวันนี้
ด้านจ่าคิงส์ได้กล่าวเตือนประชาชนว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพมีกลโกงที่หลากหลายและแนบเนียนมากขึ้น ขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อบุคคลที่อ้างตัวว่ารู้จักผู้ใหญ่หรือมีเส้นสายในหน่วยงานรัฐ และไม่ควรโอนเงินลงทุนในลักษณะที่สุ่มเสี่ยง หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรตรวจสอบข้อมูลให้แน่ใจก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมใด ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
หลังจากเข้าพบพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม (กก.1 บก.ป.) และตรวจสอบรายละเอียดแล้ว ได้มีการประสานไปยังสถานีตำรวจนครบาลสายไหม เพื่อให้ดำเนินการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานเพื่อเร่งรัดคดีตามกฎหมายต่อไป