เกาะประเด็นการเมืองวันนี้ จับตา นายกฯอิ๊งค์ ‘ลุ้นนัดฟังวินิจฉัยคลิปเสียง’
ขณะนี้เริ่มมีการปล่อยข่าวว่า “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร จะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีคลิปเสียงกับ “ฮุน เซน” ประธานองคมนตรีกัมพูชา เป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อผู้สื่อข่าวเจอหน้า นายกฯ อิ๊งค์ ที่สนามหลวง ในงานตักบาตรวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ นายกฯ อิ๊งค์ ไม่ได้ตอบคำถามสื่อ เพียงแต่หันมายิ้มให้สื่อมวลชน และบอกว่า “คิดถึงนะคะ”
“เลขาฯบอย” สรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีกระแสข่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เตรียมลาออกจากตำแหน่ง หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ผ่านที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า ไม่มีเรื่องจะลาออก ทางพรรคไม่ได้กังวล รวมไปถึงไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้ เรื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้ทางพรรคเพื่อไทยเสียกำลังใจ และกำลังใจยังดีอยู่
นายสรวงศ์ กล่าวถึงการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 7 จ.เชียงราย แทนตำแหน่งที่ว่าง ว่า ในวันที่ 13 ส.ค. ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดรับสมัคร นายสง่า พรมเมือง ว่าที่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย จะเดินทางไปสมัครรับเลือกตั้งในวันดังกล่าว มั่นใจสามารถรักษาเก้าอี้ของเราไว้ได้
นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการประชุมศาลรัฐธรรมนูญประจำสัปดาห์ ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ ที่อาจจะพิจารณานัดฟังคำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายกฯ อิ๊งค์ อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญชะลอการพิจารณาคดีดังกล่าวไว้ก่อน พร้อมทั้งให้ยกเลิกคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพื่อให้กลับมามีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงมีภาวะวิกฤติหลายอย่าง หยุดคดีไว้สัก 6 เดือนก่อน
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “คาดเดาว่า การนัดหมายวินิจฉัยน่าจะมีขึ้นในการประชุมวันพุธที่ 13 ส.ค. และวันที่นัดหมายอ่านคำวินิจฉัยอาจเป็น 20 หรือ 27 ส.ค. ไม่ควรล่าช้ากว่านั้น เพราะคดีนี้เป็นคดีสำคัญและไม่ควรปล่อยให้ประเทศอยู่ในภาวะมีแต่นายกรัฐมนตรีรักษาการนานเกินไป การดึงเวลาให้ล่าช้าออกไป อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ น.ส.แพทองธาร ตัดสินใจลาออกเอง ซึ่งจะทำให้ตัวเองยังมีอนาคตทางการเมือง และศาลอาจจะรู้สึกสบายใจมากกว่าที่ไม่ต้องวินิจฉัย เนื่องจากผู้ถูกร้องเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี เมื่อไม่มีสถานะเป็นรัฐมนตรีแล้วก็สามารถจำหน่ายคดีทิ้ง ไม่ต้องวินิจฉัยให้เป็นประเด็นอะไรอีก”
สำหรับเรื่องกฎหมายงบประมาณ “สส.แบงค์” ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน เกริ่นมาว่าน่าจะดุเดือด โดยโพสต์ใน X ถึงการตัดงบอาคาร ในงบประมาณ พ.ศ.2569 ว่า “อันดับ 1 เป็นใครไม่ได้นอกจาก ตึกกระทรวงคมนาคม 3,832 ล้าน เรียกว่า ที่สุดของปี เพราะนอกจากจะสร้างใหญ่โตระดับ 115,000 ตร.ม. แต่หลายหน่วยงานของคมนาคมไม่ได้ย้ายมาอยู่นี่ ควรเล็กกว่านี้ 50% ซึ่งจะประหยัดงบได้เกือบ 2,000 ล้านบาท แต่ทำได้แค่ตัดงบ 380 ล้าน หรือ 10%
อันดับ 2 พิพิธภัณฑ์องค์ความรู้ไม้มีค่า มรดก คสช. ปีนี้ของบระยะสาม 400 ล้าน นี่คืออภิมหาโปรเจกต์ 3,800 ล้านบาท ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) สร้างตั้งแต่ปี 59 รอบนี้ขอค่า landscape และระบบไฟฟ้ารวม 400 ล้านบาท ขนาดงบเครื่องปั่นไฟสูงกว่า รพ.ใช้ถึง 6 เท่า ทางอนุ กมธ.จึงตัดงบไป 50 ล้าน ซึ่งยังถือว่าน้อยมากกับงบที่ใช้
อันดับ 3 ค่าปรับปรุงอาคารสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) 628 ล้านบาท โดยเป็นอาคารราว 11,000 ตร.ม. ใช้โครงสร้างเดิม ไม่ได้ทุบทำใหม่ แต่กลับใช้งบปรับปรุงตกแต่งเฉลี่ย 57,000 ต่อ ตร.ม. แพงมหาโหด เลยโดนแขวนงบ จี้ให้ปรับ 2 รอบ รอบแรกเหลือ 470 ล้านบาท สุดท้ายจบที่ 385 ล้านบาท ลดเกือบ 40% อันดับ 4 ค่าตกแต่ง รพ.ราชทัณฑ์ 260 ล้านบาท รพ. ขอค่าตกแต่งต่อในปีนี้ ถ้าใครเห็น BOQ (ใบแสดงราคาวัตถุและค่าใช้จ่าย) แล้วจะอึ้ง เพราะแพงมหาโหดจนงงว่านี่ รพ.ราชทัณฑ์ หรือ รพ.บำรุงราษฎร์ built in แพงทุกชิ้นเพราะไม่มีราคากลาง ตู้รองเท้าครึ่งล้าน ตู้ใส่ผ้าหลักล้าน ทั้งยังมีห้องผู้ป่วย VIP สุดท้ายตัดงบไปเกือบ 50% เหลือ 138 ล้าน
อันดับ 5 โครงการบ้านข้าราชการตำรวจ 90 ล้านบาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พอไปเปิดรายละเอียด มันคือบ้านพัก ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร. รวม 7 หลัง 90 ล้าน แต่ในเอกสารเขียนว่า ไว้เป็นศูนย์บัญชาการ พร้อมที่หลบภัยของตำรวจระดับสูง กรณีมีการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งตรงปทุมวันอาจตกเป็นเป้าไม่ปลอดภัย แต่พอดูแบบกลับพบว่า สร้างเป็นบ้านเดี่ยว 7 หลัง ภายในมีห้องจัดเลี้ยง มีลานจัดเลี้ยง ห้องนอน 3 ห้อง สร้างใกล้กัน ผบ.ตร. 1 หลัง รองอีก 6 หลัง ซึ่งย้อนแย้งกับการเป็นศูนย์บัญชาการมาก จึงเสนอตัดทั้งรายการทันที 100%
งบที่เข้าห้องอนุ กมธ.สิ่งก่อสร้าง ยอด 320,000 ล้าน โดยเราตัดงบได้คือ 2,878 ล้าน สูงสุดอันดับ 1 และยังมีงบผูกพันในอนาคตที่ตัดไปได้อีกราว ๆ 1,700 ล้านบาท รวมแล้วปีนี้ช่วยเซฟงบไปได้ 4,500 ล้าน ถ้าทุกพรรคร่วมใจตัดงบไร้สาระจริงๆ เชื่อว่าจะประหยัดงบได้อย่างน้อยๆ 3 หมื่นล้าน”
“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการเพิกถอนสิทธิในที่ดินเขากระโดงของกรมที่ดิน ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลอีกด้านออกมา ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไม่มีแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกา ว่าสิ่งที่จะทำให้ถูกต้อง และเชื่อถือได้ทุกฝ่ายคือกฎหมาย คนที่ครอบครองเขากระโดงก็ไม่เคยพูดว่าจะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ขอให้มีคำพิพากษาศาลให้ชัดเจน เป็นเอกฉันท์ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ จากทั้งสองฝ่าย
"ส่วนตัวตีความว่า หากศาลฎีกาตัดสินผูกพัน 35 ราย อีกฝ่ายบอกว่าจะเหมาทั้งหมดไม่ได้ เพราะต้องดำเนินการตามคณะกรรมการตาม มาตรา 61 ซึ่งผมไม่ได้เป็นคนตั้งคณะกรรมการชุดนี้ เห็นว่า เราไม่ควรเอาเรื่องการเมืองมาทำลายกัน ทำไมปัจจุบันนี้เป็นแบบนี้ก็ไม่ทราบ ไม่เคยเจอแบบนี้ บทบาทของทุกคนก็มีคือการรักษาประโยชน์ให้ประเทศชาติ ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่เอาเรื่องส่วนตัวออกมา ผมอยู่มหาดไทยมา 2 ปี ไม่เคยกลั่นแกล้งใคร ไม่เคยใช้อำนาจในการบริหารประเทศ ทำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง ไม่อยากให้การเมืองไทยเป็นแบบนี้"
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) อุบลราชธานีเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือในพื้นที่ที่มีการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าช้า จนถูกย้ายออกจากพื้นที่ ว่า หากมีงบประมาณ 100 ล้าน แต่สามารถเบิกเพียงได้ 55,000 บาท หากเป็นตนก็ทำเช่นเดียวกับนายภูมิธรรม คือย้าย ส่วนที่ “รมช.อิ่ม” ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย โยนว่าคนแต่งตั้ง ผวจ.อุบลราชธานี คือ มท.1 คนเก่า คนแต่งตั้งคือปลัดกระทรวงมหาดไทย
“พูดมั่วไปหน่อย เป็นถึง มท.2 แล้ว คงทราบเรื่องนี้ดี และตอนที่ตนดำรงตำแหน่ง น.ส.ธีรรัตน์ก็เป็นถึง มท.4 ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการระดับ ซี 10 คือระดับอธิบดีหรือ ผวจ.เป็นหน้าที่ปลัดกระทรวงเสนอ ครม. ไม่ควรมาพูดกันแบบนี้ ถามกลับว่า ถ้าคนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ผวจ.ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นในยุค มท.ภูมิธรรม หรือ มท.อ้วน ก็เป็นเด็กท่านหมดใช่หรือไม่ หรือจะมีคนไหนที่เป็นเด็กของ มท.2 ด้วยหรือไม่ ทุกอย่างผ่านมาด้วยความเห็นชอบของ ครม.” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า "เชื่อว่า มีเลือกตั้งปี 69 วันนี้ไม่ใกล้เลือกตั้ง ไม่มีความชัดเจนอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะวันนี้นายกรัฐมนตรียังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ มีการทักท้วงว่าการยุบสภาเป็นอำนาจของนายกฯ เท่านั้น จึงยังไม่ได้ใกล้จุดนั้น ขณะที่สภาก็เกิน 2 ปีมาแค่ 3 เดือน ทุกคนจึงคิดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปีหน้า บรรดาพรรคการเมืองก็คงไม่ได้คิดว่าจะต้องเลือกตั้งกลางปี 70 ถามคอการเมืองนักวิเคราะห์การเมืองก็ตอบว่าปี 69 พรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ได้คิดต่างกัน"
"ทีมข่าวการเมือง"