‘กต.’ ฟ้องทูตต่างประเทศ ‘ทุ่นระเบิดสังหาร’ เป็นของเขมร- ยื่นหนังสือประท้วง
กระทรวงการต่างประเทศ เชิญทูตต่างประเทศ ประจำประเทศไทย ชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำทุ่นระเบิดสังหาร เป็นของกัมพูชา-ละเมิดอธิปไตยไทย-ขัดกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมร่อนหนังสือประท้วงถึง สถานทูตกัมพูชา ประธานอนุสัญญาออตตาวา - ขณะที่รมว.กต.ย้ำจุดยืนไทยต่อประธาน UNSC
กระทรวงการต่างประเทศ จัดการบรรยายสรุปแก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย และผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ, นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ, พลเอกศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC (ที-แมกซ์) และพลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย- กัมพูชา หรือ ศบ.ทก
โดยมีเอกอัครราชทูต และผู้แทนจากสถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย จำนวน 93 คน จาก 68 ประเทศ และ EU เข้าร่วมรับฟัง โดยที่สถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปในครั้งนี้ ทั้งที่กระทรวงการต่างประเทศได้ออกหนังสือเชิญไปแล้ว
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยรายละเอียดการบรรยายสรุปในครั้งนี้ ว่า กระทรวงฯ ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อชี้แจงท่าทีประเทศไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และเป็นการบรรยายต่อเนื่องจากการบรรยายของกองทัพบกต่อผู้ช่วยทูตทหาร ที่ได้มีการบรรยายไป เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีกำลังพลกองทัพบก 3 นาย ประสบเหตุเหยียบกับระเบิด หลังลาดตระเวนบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี
กระรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงศูนย์ ศบ.ทก.ได้ยืนยันผลการตรวจสอบ และออกแถลงการณ์แล้วหลายฉบับ ซึ่งในช่วงต้น ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงวัตถุประสงค์ เพื่อให้คณะทูต และผู้ช่วยทูตทหารฯ ได้รับทราบความคืบหน้าจากหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นทุ่นระเบิด เพื่อยืนยันจุดยืนไทย และการแก้ปัญหาอย่างสันติผ่านการเจรจาทวิภาคี
ขณะที่ โฆษก ศบ.ทก.ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และการดำเนินการของหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ พร้อมย้ำว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในดินแดนอธิปไตยของไทย และผู้อำนวยการ TMAC (ที-แมกซ์) ได้ย้ำบทบาทของศูนย์ TMAC โดยเฉพาะตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ. 1997 หรือ อนุสัญญาออตตาวา และการดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยศูนย์ TMAC ในครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่า ทุ่นระเบิดเป็นของกัมพูชา และเรียกร้องให้กัมพูชาให้ความร่วมมือเก็บกู้วัตถุระเบิด และสืบสวนข้อเท็จจริง รวมถึงอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ได้ย้ำพันธะกรณีของไทย ตามอนุสัญญาออตตาวา ที่ไทยเป็นรัฐภาคี พร้อมแสดงการประท้วงของไทยต่อกัมพูชา หลังการรวบรวมหลักฐานในพื้นที่
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจง 5 ประเด็นหลักต่อคณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย และผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย โดยไทยยืนยันว่า จากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ทุ่นระเบิดไม่มีการใช้ และไม่มีในคลังอาวุธไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ โดยเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศร้ายแรง, รัฐบาลไทย มีแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงที่สุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตย และขัดหลักการกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน และจากการรวบรวมหลักฐานทั้งหมด
ในวันนี้ (23 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ ได้มอบหนังสือประท้วงถึงเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ถึงการละเมิดอธิปไตย ไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา และขอให้กัมพูชารับผิดชอบ และเยียวยาผู้เสียหาย รวมถึงเก็บกู้วัตถุระเบิดตามที่เคยมีการตกลงกันไว้, รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ โดยเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเจนิวา สหประชาชาติ ได้มีหนังสือถึงประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาแล้ว ซึ่งมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับหนังสือประท้วงที่ส่งไปยังสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกรัฐภาคี ที่มีความรับผิดชอบต่อนานาประเทศ จึงต้องรายงานการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชา และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้เน้นย้ำจุดยืนของไทยที่สอดคล้องสากล กฎหมายระหว่างประเทศ พันธกรณีต่าง ๆ ที่ประเทศไทย ยังคงพร้อมพูดคุยหาทางออกกับกัมพูชาอย่างสันติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ นายมาริษ เสงี่ยมพงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อนำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี ค.ศ. 2025 (High-Level Political Forum on Sustainable Development 2025) หรือ HLPF2025 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก และได้มีโอกาสพบผู้แทนระดับสูงจากต่างประเทศ จึงได้ใช้โอกาสนี้ ยืนยันจุดยืนประเทศไทยต่อประชาคมโลกในการแก้ปัญหาอย่างสันติ และการเจรจาผ่านกรอบทวิภาคี ซึ่งในวันนี้ (23 ก.ค.) ได้พบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน
ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ประจำเดือนกรกฎาคม รวมถึงยังได้พบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประเทศปานามา ซึ่งจะเป็นประธาน UNSC ในเดือนสิงหาคม ซึ่งทั้งฝ่ายปากีสถาน และปานามา ก็เห็นพ้องในการแก้ปัญหาของไทย ที่จะใช้กลไกทวิภาคี และหากมีการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ก็จะต้องมีการแก้ไข
ส่วนไทยจะมีการพิจารณามาตรการตอบโต้ให้เข้มข้นขึ้นหลังมีการยั่วยุบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มากกว่าการออกเอกสารประท้วง เช่น การเชิญเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับไทย หรือการให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับไปหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น
ในการบรรยายสรุปแก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย และผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย ก็มีการสอบถามถึงการเชิญทูตกลับ แต่ยังไม่ถึงจุดนั้น เพราะประเทศไทย ยังย้ำการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ผ่านการเจรจาทวิภาคี และเอกอัครราชทูต ก็เป็นกลไกสำคัญในการเปิดช่องให้มีการเจรจาทวิภาคี ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงยังไม่มีการพิจารณาถึงจุดนั้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ผบ.ทบ. สั่งเตรียมแผน 'จักรพงษ์ภูวนาถ' ประณาม 'กัมพูชา' ลอบวางทุ่นระเบิดช่องอานม้า
- 'ภูมิธรรม' สั่งลดระดับความสัมพันธ์ เรียกทูตไทยกลับ ส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ
- มทภ.2 โต้กลับทันที สั่ง ‘ปิด 4 ด่าน’ หลังกำลังพลเหยียบกับระเบิด
ติดตามเราได้ที่